เทศน์บนศาลา

ธรรมะเกียร์ว่าง

๑๙ ก.ย. ๒๕๕๒

 

ธรรมะเกียร์ว่าง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมนะ ธรรมะเท่านั้นจะเป็นที่พึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนประจำนะ เธอจงอย่ามีที่พึ่งอื่นใดเลย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แต่ธรรมะมันอยู่ที่ไหนล่ะ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านค้นหา ท่านวิ่งไปหาธรรมะ ธรรมะมันหาได้ที่หัวใจของเรา เราอุตส่าห์นะ ขับรถขับรากันมา เรามาเพื่ออะไร มาเพื่อฟังธรรมนะให้ธรรมะเตือนสติเรา เตือนสตินะ ไม่มีใครเตือนเราได้ แม้แต่ตัวเราเองก็เตือนไม่ได้ ต้องให้ครูบาอาจารย์คอยเตือนให้เรา เพราะกิเลสมันครอบคลุมหัวใจเราอยู่ จะทำสิ่งใดเราก็คิดว่าเราทำถูกต้องดีงามแล้วทั้งนั้น

จะทำสิ่งใดก็ว่าเราทำถูกต้องดีงาม ฟังสิ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะอวิชชามันครอบงำหัวใจเราอยู่ อวิชชาคือความไม่รู้ตามความเป็นจริง อวิชชามันมีพลังงานของมัน อวิชชาไม่รู้ตามความเป็นจริง คำว่าไม่รู้ รู้เห็นไหม คำว่ารู้ ไม่รู้ตามความเป็นจริง นี่คืออวิชชาครอบงำเราอยู่ เรายังเตือนตัวเราเองไม่ได้ไง เราถึงต้องให้ครูบาอาจารย์คอยเตือนให้เรา ทีนี้ครูบาอาจารย์คอยจะเตือนให้เรา ว่าสิ่งที่จะเตือนมาเหมือนผู้ใหญ่กับเด็ก เด็กนะ ถ้ามันโดนบังคับนัก มันก็มีความหงุดหงิดมันเป็นธรรมดา เด็กพอปล่อยให้มัน ให้มันรู้สึกมีโอกาสของมันได้ตามความพอใจของมัน ตามความสะดวกของมัน แล้วผู้ใหญ่คุมอยู่ห่างๆ คอยดูอยู่ห่างๆ

จิตก็เหมือนกัน จิตมันดิ้นรนของมันอยู่ตลอดเวลา แล้วเวลาบอกว่า มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วธรรมมันคืออะไรล่ะ วิ่งแสวงหากัน ธรรมคืออะไรล่ะ พวกเราแสวงหาครูบาอาจารย์กัน ครูบาอาจารย์ท่านก็มีธรรมของท่าน ธรรมของท่านนะ เราไปดูสมบัติสิ เราเข้าไปในเมือง ตึกรามบ้านช่องเยอะแยะไปหมดเลย แต่เราไม่มีสักหลัง เราไปดูตึกรามบ้านช่องของคนอื่น นี่ก็เหมือนกันเราไปดูธรรมะของคนอื่นใช่ไหม ธรรมะมันจะเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรานะ จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด

ในปัจจุบันนี้เรามีของเรา เช่นมนุษย์เรานี้ต้องมีสติ ต้องมีปัญญาเป็นธรรมดา มนุษย์เรามีนะ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา สติต้องมี ถ้าไม่มีสติ เราจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไรล่ะ เราก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีสติ ดูสิ ตามทางแยกทางร่วมที่เขาไม่มีสติของเขา เขาก็เป็นมนุษย์ เขาก็มีจิตเหมือนกัน แต่เขาไม่มีสติ เห็นไหม จิตที่ไม่มีสติควบคุม ไม่มีการดูแล มันเป็นอย่างนั้น แต่ เรามีสติ เรามีสมาธิ เรามีปัญญา แต่สมาธิของเราเป็นสมาธิของปุถุชน ปัญญาของเราก็เป็นปัญญาอวิชชา ปัญญาจากกิเลส ปัญญาอย่างนี้เอามาชำระกิเลสไม่ได้

แต่เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ก็ต้องมีสติปัญญาของเรานี่แหละเป็นที่พึ่งของเรา ถ้าเรารู้จักมีสติ มีสมาธิ มีปัญญาคอยแสวงหา คอยเรียกร้องเห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย จิตใจของเรานี่เรียกร้องหาผู้ช่วยเหลือมันอยู่ตลอดเวลา มันเรียกร้องหาคนช่วยเหลือมัน ช่วยเหลือมันนะ แล้วใครจะไปช่วยเหลือได้ล่ะ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจิตมันอยู่ที่ไหน เหมือนกับคนหาย เขาแสวงหา เขาช่วยเหลือคนหาย เขาต้องค้นหานะว่าผู้ที่หายไป ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมันอยู่ที่ไหน ค้นแล้วค้นอีก ค้นแล้วค้นอีก เพราะมันเป็นมนุษย์ เป็นวัตถุธาตุที่เห็นได้

แต่จิตของเรามันอยู่ในร่างกายของเรา จิตเห็นไหม มันเป็นนามธรรม มันอยู่ในร่างกายนี่ แล้วใครจะไปช่วยเหลือมันล่ะ มันก็ต้องจิต เอาสติ เอาสมาธิ ปัญญาช่วยเหลือมัน ตั้งสติ ตั้งสมาธิ ตั้งปัญญาขึ้นมาเพื่อจะดูแล ในการศึกษาธรรมะ เราก็เอาสิ่งนี้ไปศึกษาธรรมะ เราศึกษามาแล้วนี่ เรามีความรู้ความเข้าใจของเรา ความรู้ความเข้าใจก็ต้องมีการเสียสละ เราอยากจะทำทาน เราอยากจะทำสมาธิ

มันศึกษามาเพื่อจะให้มีความสำนึก มีการช่วยเหลือหัวใจของเรา มีการช่วยเหลือหัวใจของเราก็ต้องมีสติ มีปัญญา มีการขวนขวาย เพื่อจะรักษา เพื่อจะค้น เพื่อจะช่วยเหลือมัน ช่วยเหลือหัวใจของเรานะ สิ่งที่จะช่วยเหลือเรา เห็นไหม เราศึกษามาขนาดไหน เราเป็นความจริงขนาดไหน มันทำขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา มันจะเป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรานะ นี่ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ธรรมจากข้างนอกเห็นไหม สภาวธรรมต่างๆ ที่เป็นสภาวธรรม

สภาวธรรมอย่างนี้ที่เป็นสภาวธรรม เพราะจิตของผู้ที่มีคุณธรรม เขาเห็นเป็นสภาวธรรม แต่จิตของเราเห็นเป็นอะไร เห็นเป็นสภาวธรรมไหม เห็นเป็นภาชนะธรรมที่เป็นวิทยาศาสตร์ไง เราเข้าใจแต่หลักวิทยาศาสตร์ ว่าสิ่งต่างๆ มันต้องเคลื่อนที่เป็นธรรมดา สิ่งต่างๆ ต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะวิทยาศาสตร์มันตอบโจทย์ได้หมดแล้วไง เราเข้าใจหมดล่ะ ดูพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันก็เป็นตามธรรมชาติของมันเป็นอย่างงั้น เราเข้าใจ จนกว่าเราทำพืชสวนกันต่างๆ ก็เพื่อเราเอาไว้เป็นอาหาร

เราเข้าใจของเรา เราแสวงหาของเรา เราคัดเลือกพันธุ์ของเรา เราทำเพื่อประโยชน์ของเรา นี่เพราะสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับเราใช่ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วธรรมะของเราล่ะ ธรรมะอย่างนี้ ธรรมะของเรามันจะเกิดขึ้นมา ธรรมะของเรานะ อย่างนี้มันอยู่ข้างนอก จะมีเราหรือไม่มีเราก็เป็นสภาวะแบบนั้น ดูสิ ดูป่าเขาลำเนาไพร มันจะปรับตัวของมัน ป่าไม้นี่ถ้าเราไม่ไปตัด ไม่ไปทำลายมัน มันจะปรับตัว มันจะฟื้นฟูของมันเอง มนุษย์ต่างหากไปใช้ประโยชน์จากมัน

มนุษย์ต่างหากแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ใช่ไหม สิ่งที่เราไปแสวงหาทรัพยากรจากไม้เพื่อใช้ประโยชน์กับเรา แต่ถ้ามันเป็นธรรมชาติของมัน มันอยู่ในสภาพของมัน มนุษย์ไปแสวงหาประโยชน์จากมัน มันจะปรับตัวมัน พัฒนาตัวมันจนอุดมสมบูรณ์ นี่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่เรื่องจิตใจของเรา จิตใจของเรามันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่เป็นธรรมชาติที่มีอวิชชาครอบงำ เป็นธรรมชาติที่มีมารครอบงำมันอยู่ ความครอบงำอยู่มันก็หมุนไปตามวัฏฏะ มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งเหมือนกัน

ถ้าศึกษาธรรมะ ถ้าเราแสวงหาเข้ามาจากใจของเรา เราก็รื้อค้นจากใจของเรา เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ธรรมอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติของเรา ธรรมอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาจากเราแสวงหา เราจะช่วยเหลือหัวใจของเรา เราจะช่วยเหลือนะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามีครูบาอาจารย์พาลูกศิษย์ลูกหาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ใครทรมานมา ใครเป็นคนสั่งสอน ใครเป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้ชี้ทางให้แสวงหาทางออก คำว่าทรมาน ทรมานอะไร ทรมานกิเลสไง ทรมานกิเลสเพื่อให้กิเลสมันสงบตัวลง พยายามเอาธรรมะเข้าไปเพื่อชะล้างมัน มันต้องมีการกระทำ มันมีสิ่งต่างๆ ขึ้นมา สิ่งต่างๆ นี่ธรรมะมันจะเกิดกับเรา มันมีเหตุมีผลของมันนะ แต่ถ้าเราศึกษาของเรามา แล้วเราทำตามความเข้าใจของเรา

ดูในโลกปัจจุบันนี้ ผู้ที่มีตำแหน่งมีหน้าที่การงานของเขา เขาควรจะทำตามตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาเพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข แต่เขาก็ไปใส่เกียร์ว่างกัน ใส่เกียร์ว่างกันเพราะอะไรล่ะ เพราะเขามีผลประโยชน์ของเขา พอเขามีผลประโยชน์ของเขา ผู้ที่เสียหายคือใคร ผู้เสียหายคือสังคมไง สังคมมีความเสียหายเพราะอะไร เพราะเขามีหน้าที่ของเขา เขาควรจะทำหน้าที่ของเขาเพื่อปกป้องผู้ที่มีคุณธรรม ผู้ที่ทำถูกกฎหมายให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข อย่าให้ผู้ทำผิดกฎหมายมาระราน มาทำสิ่งนี้ให้เสียหาย เห็นไหม เขาก็ใส่เกียร์ว่างซะ

เขาใส่เกียร์ว่าง เขาไม่ทำ เขามีผลประโยชน์ด้วย เขามีความเกรงใจ เขาเป็นพรรคพวกเดียวกัน เขามีต่างๆ นี่ไง มันลำเอียงไง มันเข้าข้างกัน นี่เขาใส่เกียร์ว่าง เพราะเกียร์ว่างของเขา มันจะมีความเสียหายมากนะ แต่ถ้าศึกษาธรรมของเรา แล้วเราไปใส่เกียร์ว่างล่ะ เป็นเกียร์ว่างไง เพราะอะไร เพราะมันไม่ใช่สัจจะความจริง เราไปใส่เกียร์ว่างเพราะเราศึกษาธรรม เราว่าเข้าใจธรรมะไง เห็นไหม ธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกสิ่งกลับไปอยู่ในสภาพเดิม มันก็ไม่มีสิ่งใดเบียดเบียนกัน นี่เป็นความคิดของเรานะ

ใช่ สิ่งที่เป็นโลกของเขา โลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะเราไปรับรู้ว่ามีโลกนี้ไง จะมีเราไม่มีเราโลกนี้มันมีอยู่แล้ว ธรรมชาติมันมีของมันอยู่แล้ว เราเกิดมาเราก็พบสัจจะความจริงอย่างนี้ พบกับสิ่งเป็นโลก สิ่งที่อยู่อาศัยก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่เกิดมาล่ะ ถ้าไม่มีคนเกิดมา เห็นไหม ดูสิเด็กมันเกิดมา บางคนเสียชีวิตไป มันก็เกิดใหม่ มันก็หมุนเวียนกันไป ธรรมชาติก็ปรับเปลี่ยนตัวมันเองไป

โลกนี้มีเพราะมีเรา เพราะเราเกิดมาอยู่สภาวะของโลกนี้ ธรรมชาติของเขาก็มีของเขาอยู่แล้ว แต่เวลาเราเกิดมา ใครพาเกิดล่ะ อวิชชาพาเกิด เกิดมาจากพ่อจากแม่ใครพาเกิด กรรมพาเกิด การกระทำ กรรมดี กรรมชั่วเห็นไหม กรรมดี กรรมชั่วใครเป็นคนทำมัน กรรมมันดีมันชั่วเกิดจากมโนกรรม มโนกรรม ความคิดดี คิดชั่ว ย้ำคิดย้ำทำจะเป็นจริตนิสัยของเธอ เธอย้ำคิดย้ำทำเป็นการกระทำของเธอ จนเธอจนเคยตัวจนเป็นจริตนิสัยของเธอ มันเป็นสภาวกรรมของมันไปใช่ไหม

แล้วทำดีล่ะ พระโพธิสัตว์เห็นไหม อย่างเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างเป็นพระพุทธเจ้า ทำคุณงามความดีสะสมมา ท่านทำสร้างอำนาจวาสนาบารมีจนปรารถนาโพธิญาณ นี่ไงก็สร้างก็ทำความดีมา ทำความดีมาเพื่อเป็นประโยชน์ของความดี จิตใจก็เหมือนกัน ถ้าเราเกิดมานี่กรรมพาเกิด สิ่งที่ทำความดีมา ทำดีทำชั่วก็แล้วแต่ มันก็ให้ผลของมันเป็นอามิส สิ่งที่มันมีผลตอบแทนของมัน สิ่งที่เป็นอามิสเห็นไหม มันเกิดตามแรงขับ ตามแรงของคุณงามความดีอันนั้น ถ้าคุณงามความดีอันนั้น นี่การเวียนตายเวียนเกิดของเรา เราเกิดมามันมีอวิชชาโดยธรรมชาติเลย

ยกเว้นแต่พระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เกิดอีก ไม่เกิดอีกเพราะอะไร เพราะว่าศาสนามันมีเห็นไหม อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเป็นองค์ที่ ๔ ภัทรกัปนี้ ในกัปนี้มีอยู่ ๕ องค์ สิ่งที่เวียนตายเวียนเกิด จิตมันเวียนตายเวียนเกิดของมัน ตามธรรมชาติของมัน ทีนี้ธรรมชาติเขาเป็นของเขา ธรรมชาติเขาไม่มีสิ่งมีชีวิต ธรรมชาติสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง มันก็ปรับตัวตามสภาพตามธรรมชาติของมัน

แต่ใจของเรานี่มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งด้วย แล้วมันมีอวิชชาครอบงำอีกชั้นหนึ่งด้วย คนเกิดมาเห็นไหม คนทุกข์เกิดมาโดยกรรม คนทุกข์คนยาก บางคนเกิดมาประสบความสำเร็จ เกิดมาแล้วมีคนคอยเกื้อหนุนจุนเจือเห็นไหม นี่เกิดสว่างไปมืด เกิดมืดไปสว่างต่างๆ นี่คนเกิดมามันไม่เท่ากันเห็นไหม ความไม่เท่ากันตรงไหน ไม่เท่ากันตรงความสุข ความทุกข์ในหัวใจ แต่เกิดมานี่เป็นญาติกันโดยธรรม มีสถานะเท่ากัน มีกายกับใจเหมือนกัน แต่ร่างกายก็ไม่เหมือนกัน หัวใจก็ไม่เหมือนกัน ทุกอย่างไม่เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ ไม่เหมือนกันแล้วมันเป็นธรรมชาติตรงไหนล่ะ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติการเกิดและการตายใช่ไหม

แต่หัวใจล่ะ หัวใจมันมีอวิชชาอยู่ มันเป็นธรรมชาติไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมชาติไม่ได้ เพราะมันมีอวิชชาปกครองอยู่ มันมันมีพญามาร มันมีตัณหาความทะยานอยาก มันมีแรงขับของมันอยู่เห็นไหม นี่จิตมันเรียกร้องความช่วยเหลืออย่างนี้ มันเรียกร้องความช่วยเหลือให้พ้นจากมาร ให้พ้นจากผู้ที่ครอบงำมันอยู่ สิ่งที่ครอบงำมันอยู่ การกระทำอันนี้ไง การประพฤติปฏิบัติของเรา ถึงบอกว่าถ้าเราศึกษาธรรมมานะแล้วปลดเกียร์ว่าง มันจะไม่ได้สิ่งใดๆ เลย เพราะปลดเกียร์ว่างไปแล้ว ใครเป็นผู้รักษามันล่ะ ธรรมะเกียร์ว่างนะ ธรรมะเกียร์ว่างจะไม่ได้อะไรเลย เพราะเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรารู้เห็นไหม

ดูสิ อย่างเขามีตำแหน่งหน้าที่การงาน เขามีความรับผิดชอบของเขา แล้วเขาไม่รับผิดชอบตามหน้าที่ของเขา จะทำให้คนอื่นได้กระทบกระเทือน คนอื่นได้ความเดือดร้อนไปกับเขา นี่เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามา ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามา เห็นไหม มันจะปลดเกียร์ว่าง มันต้องมีเกียร์ให้ปลด เขามีตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา เขาถึงปลดเกียร์ว่าง เขาไม่ทำงานของเขา นี่มันเป็นศัพท์แสลงว่า คนไม่ทำงาน เขาปลดเกียร์ว่างของเขา ปลดเกียร์ว่างเขาได้ประโยชน์ด้วย แต่ทำ

ถ้าสังคมเป็นธรรมนี่ผู้ที่ทำหน้าที่ตามสัมมาทิฏฐิ ตามความเห็น ตามคุณงาม ตามคุณธรรมของเขา ใครผิดว่าไปตามผิด ใครถูกว่าไปตามถูก แล้วตัดสินกันไปตามธรรมนั้น เห็นไหม สังคมก็ร่มเย็นเป็นสุข เพราะผู้ที่ทำหน้าที่นั้นเป็นธรรม แต่ถ้าผู้นั้นไม่เป็นธรรม เห็นไหม เป็นอธรรม เห็นแต่ผลประโยชน์ เห็นแต่ความคิดของตัว นี่ปลดเกียร์ว่างซะ เขาต้องมีตำแหน่งหน้าที่ของเขา เขาต้องปลดเกียร์ว่างได้ อย่างพวกเราปลดเกียร์ว่างเกียร์อะไร ปลดเกียร์ว่างในชีวิตเราเหรอ ปลดเกียร์ว่างโดยไม่ทำหน้าที่การงาน เราก็ไม่มีอะไรใช้สอย เราจะปลดเกียร์ว่าง เราก็ไม่มีสิทธิปลดเกียร์ว่าง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราไปศึกษากันมา บอกเป็นธรรม เป็นธรรม เห็นไหม เพราะเราไปศึกษามา เรารู้เทคนิคของมัน เรารู้ทางวิชาการมาแล้วเราก็ปลดเกียร์ว่าง ปลดเกียร์ว่างมันก็ไม่มีสิ่งใดได้เป็นผลประโยชน์กับเราเลย มันไม่ได้สิ่งใดๆ ขึ้นมา นี่ไง ธรรมะเป็นธรรมชาติไง พอกลับไปสู่สภาวะเดิมทุกอย่างมันก็เป็นธรรมขึ้นมาไง มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้หรือ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง

แต่ความรู้จริงของเรา ความเข้าใจจริงของเรา เพราะอะไร เพราะจิตมันไม่เป็นธรรมชาติน่ะสิ มันเป็นธรรมชาติในการเกิด การตาย ธรรมชาติในวัฏฏะไง เพราะเราต้องเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี้อยู่แล้ว เพราะมันมีอวิชชาครอบงำอยู่ มันสิ้นไปไม่ได้ ในเมื่อมีแรงขับอยู่ มันมีสถานะ มันมีจิตอยู่เห็นไหม จิตนี่มันมีของมันอยู่ พอจิตมันมีของมันอยู่ มันมีเวรมีกรรมของมัน มันจะพ้นจากบ่วงของเวรของกรรมได้อย่างไร มันจะพ้นจากบ่วงของเวรของกรรมไปไม่ได้

เพราะมันมีต้นเหตุมีเหตุมีปัจจัย มันจะหมดเหตุหมดปัจจัยไปได้อย่างไร เพราะมีเหตุมีปัจจัยอยู่ มันมีแรงขับของมันอยู่ แล้วมันเป็นธาตุรู้ สิ่งที่มีชีวิตอยู่ จิตนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก สิ่งที่มหัศจรรย์ มันต้องเวียนตายเวียนเกิดตามธรรมชาติของมัน แล้วมันศึกษาธรรมขึ้นมา แล้วมันไม่ได้ไปแก้อวิชชา ไม่ได้ไปแก้บ่วงมารอันนี้ ไม่ได้ไปแก้สิ่งที่เป็นอย่างนี้ มันจะกลับไปอยู่สถานะเดิม ก็ปลดเกียร์ว่างไง ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าแล้วก็ปลดเกียร์ว่างเลย

ธรรมะเกียร์ว่าง แล้วก็ว่างๆ ว่างๆ อย่างนั้นนะ แล้วก็เอาว่างๆ อย่างนั้น เวลาพูดธรรมมา ได้สิ แสดงธรรมหรือการสื่อสารกันได้ เพราะอะไร เพราะมันมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้ว เพราะเราเกิดมาเห็นไหม นี่ ๕,๐๐๐ กาลเวลาของศาสนานี้มี ๕,๐๐๐ ปี ยังศึกษาได้ มีวิชาการมีต่างๆ เป็นไปได้ทั้งนั้น เข้าใจไปได้หมดล่ะ แต่มันไม่เข้าถึงจิตใจสิ มันไม่เข้าถึง มันไปปลดเกียร์ว่าง ตัวเองเสียผลประโยชน์ไง

โลกถ้าเขาปลดเกียร์ว่างกัน สังคมเสียผลประโยชน์นะ สังคมคือสิ่งต่างๆ เพราะ ระบบที่เขาตั้งมา เพื่อความสงบร่มเย็นของสังคม ของสิ่งต่างๆ เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่ถ้าการปลดเกียร์ว่างของเรา ทั้งๆ ที่เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ พอปลดเกียร์ว่างใครเสียผลประโยชน์ล่ะ นี่ธรรมะเกียร์ว่างไง ก็เราว่าเป็นธรรมเป็นธรรมไง แล้วใครเป็นคนเสียผลประโยชน์ ก็ใจของเราเอง ผู้ที่ทำนั่นแหละ ผู้ที่ปลดนั่นแหละเสียผลประโยชน์เอง เสียผลประโยชน์นะ

การเกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้เป็นบุญกุศลมาก เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ยิ่งพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองกึ่งพุทธกาล เกิดสมัยพระพุทธเจ้าสุดยอดมาก สหชาติ ใครเกิดนะ ดูสิ ผู้ที่เกิดมาร่วมกับองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเห็นไหม อัครสาวกต่างๆ ปรารถนามาทั้งนั้น สร้างบุญกุศลมา ดูการเกิดการตายของเรานี่ ทำคุณงามความดี คำว่าปรารถนาต้องทำความดีมา ความดีสมอย่างนั้น ความดีเหมาะสมอย่างนั้น ทำให้จิต มนุษย์สมบัติไง จิตที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติของเรา

จิตเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม คุณสมบัติของเขา คุณสมบัติของฝ่ายดีนะ ถ้าคุณสมบัติของฝ่ายชั่วล่ะ คุณสมบัติของฝ่ายชั่วก็ตกนรกอเวจีไปสิ เพราะว่าทำความชั่วไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นสัจจะความจริงอันหนึ่ง สัจจะความจริงโดยที่เราไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องชี้นำนี่ เราก็ทำกันไปประสา เหมือนสัตว์เลย สัตว์มันก็รักลูกของมัน สัตว์มันก็ทำความดีของมัน สัตว์ที่มันรังแก มันก็ทำลายฝูงของมัน นี่มันก็เป็นสัตว์เพราะอะไร เพราะมันไม่เข้าใจเรื่องสิ่งต่างๆ

มนุษย์! ถ้าไม่มีศาสนามาเป็นที่พึ่งอาศัย มนุษย์มันจะทำร้ายกัน มนุษย์มันจะเอารัดเอาเปรียบกันเห็นไหม แต่เพราะมนุษย์เกิดมาพบพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาสอนให้เจือจานกัน สอนให้เสียสละกัน อย่าทำร้ายตัวเอง การทำร้ายผู้อื่นเท่ากับทำร้ายตัวเอง เพราะเราคิดจะทำร้ายผู้อื่น เราต้องเบียดเบียนตัวเราก่อน มันต้องเกิดความคิดก่อน เกิดความคิด เกิดการวางแผน เกิดการกระทำ มันทำร้ายตัวเองแล้วนั่น แล้วการทำร้ายตัวเองใครเป็นคนทำล่ะ ใครมันก็อวิชชาของเราเป็นคนทำ

เพราะเราคิดว่า ความคิดของเรา ความปรารถนาในหัวใจของเรา จะไม่มีใครรู้ไปเห็นกับเรา มันทำลายตัวเองโดยมันไม่รู้ตัวเลยเห็นไหม พอมันทำลายตัวเอง พอมันคิดขึ้นมาแล้ว คิดจะทำลายแล้วมันก็ออกไปทำลายเขาเห็นไหม นี่ทำร้ายคนอื่นก็เท่ากับทำร้ายตัวเองเห็นไหม เราจะทำร้ายคนอื่นเท่ากับเราทำร้ายตัวเองแล้ว ทำร้ายตัวเราก่อน ถ้ามันระงับยับยั้งไม่ได้ มันก็ไปทำร้ายคนอื่น พอทำร้ายผู้อื่นก็มันทำไป พอมันทำไปมันก็สร้างเวรสร้างกรรมไป

พอการสร้างเวรสร้างกรรมนี่ เห็นไหม มันก็เกิดผลสะท้อนกลับมาที่ใครเป็นผู้ทำล่ะ ก็หัวใจเป็นผู้ทำเห็นไหม ดูความโง่ของมันสิ จิตนี้มันโง่มาก มันโดนอวิชชาครอบงำ โดนอวิชชาคือความไม่รู้ คิดว่าสิ่งที่ทำแล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะเราทนสภาวะอย่างนี้ไม่ได้ เราถึงต้องทำลาย พอเราไปทำลายขึ้นไป พอทำลายขึ้นไปเป็นใครล่ะ ก็ทำลายตัวเราเองเห็นไหม

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราจะตั้งสติของเรา เราจะช่วยเหลือของเรา เราศึกษาธรรมขึ้นมาขนาดไหน ศึกษาธรรมขนาดไหน ฟังสิ! การศึกษาเห็นไหม ศึกษาจากภายนอก เห็นไหม ศึกษา สิกขา! ศึกษาจากหัวใจของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันรวมลงมาที่จิตนี้ ถ้าลงที่จิตนี้ ตัวจิตที่มันมีความลังเลสงสัย มีความไม่มั่นใจในตัวมันเอง มันศึกษาธรรมะขนาดไหน รู้ธรรมะมาขนาดไหนนะ จิตใจว้าเหว่นะ จิตใจไม่มีที่พึ่งหรอก

แต่ถ้ามันมีสติ มีปัญญาของมัน แล้วทำความสงบของใจเข้ามานะ มันอาจหาญนะ เห็นไหม สภาวธรรม สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม แต่ต้องเป็นสัจธรรม เป็นสัจจะความจริง ที่เป็นธรรมะที่มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำ ไม่ใช่ไปปลดเกียร์ว่าง มันไปปลดเกียร์ว่างเห็นไหม ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ ศีล สมาธิ ปัญญารู้หมดน่ะ แล้วปลดเกียร์ว่างไปซะ มาว่างหมดเลย

การไปปลดเกียร์ว่างมันของง่ายๆ การปลดเกียร์ว่าง คำว่าของง่ายๆ นี่ โดยอวิชชานะ โดยอวิชชาเพราะมันปลดแล้วมันสบายใช่ไหม มันว่างใช่ไหม มันปลดให้มันว่างไป พอปลดให้ว่างไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมาล่ะ บอกว่าคำว่าง่ายๆ มันเสียหายกับจิตดวงนั้น แต่ถ้ามันขวนขวายล่ะ ขวนขวายการกระทำขึ้นมาล่ะ สิ่งที่ขวนขวายในการกระทำขึ้นมา มันจะเป็นความจริงขึ้นมาอันหนึ่ง มันเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม สภาวธรรมจะเกิดขึ้นมากับเรา

ถ้าเราตั้งใจของเรา เราจะทุกข์จะร้อน จะอดจะอยากขนาดไหน เป็นการขัดขืนกับกิเลส การขัดขืนกับความพอใจของเรา ใจมันพอใจทั้งนั้นล่ะ ศึกษาธรรมมาแล้วเห็นไหม ทุกคนอยากได้ ทุกคนอยากปรารถนา ทุกคนอยากพ้นจากทุกข์ทั้งนั้น พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้เห็นไหม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วก็จำสภาวธรรมอย่างนั้นมา จำสภาวะแล้วก็ปฏิบัติก็ว่าปฏิบัติของเรา การปฏิบัตินั้นปลดเกียร์ว่างนะ ปฏิบัติไปให้ไม่รู้อะไรเลยไง

เหมือนกับมึนชา วางยาตัวเองให้มันไม่รับสิ่งใดๆ เลย แล้ว ว่างๆๆ แต่ถ้ามันมีสติล่ะ โอ๋ย มีสติใช้ไม่ได้นะ เพราะมีสติขึ้นมานี่มันจะตื่นรู้ ความตื่นรู้ของเรานี่เราจะรับรู้สิ่งใดๆ ไปหมดเลย มันจะเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเก่าอีก เพราะหัวใจเรามันก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ในเมื่อมันมีความทุกข์อยู่กับมันแล้วนะ แล้วมันจะไปตั้งสติไปรับรู้สิ่งต่างๆ ให้มันทุกข์มากขึ้นไปกว่านี้อีกหรือ แล้วพอทุกข์ขึ้นมาแล้ว ตั้งสติรับรู้นี่ โอ้โฮ มันยิ่งทุกข์ใหญ่

ชีวิตนี้ ดูสิ ถ้าเราในบางคราวเราลืมสิ่งใดๆ ไป เราไม่เข้าใจสิ่งใดๆ ในชีวิตของเราบางอย่าง เราจะพออยู่ของเราได้นะ พอเรามารับรู้ ดูสิเห็นไหม เกิดมาแล้วต้องมีอาชีพ เกิดมาแล้วต้องทำหน้าที่การงาน เกิดมาแล้วต้องรับผิดชอบสังคม เกิดมาแล้วต้องดูแล โอ้โฮ ทำไมมันยุ่งขนาดนี้เนาะ ไม่เอาดีกว่า นี่พยายามจะเอาตัวรอดไง ปัจเจกบุคคลจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ นี่ปัจเจกบุคคล เว้นไว้แต่พระ พระเรานี่ทำได้ พระเรามีกลด มีบริขารเข้าป่าไปที่ไหนที่พอยังชีพได้ สบายมากเลย เห็นไหม

นี่ทางของพระ ทางของนักบวชมันกว้างขวางมาก ถ้ามีความจริงใจ มีความตั้งใจ ชีวิตของเราเป็นของเรานะ ชีวิตนี้ของเรา ใช่ เกิดจากพ่อจากแม่ แล้วเวลาจะออกบวช พ่อแม่ก็ละล้าละลังกว่าจะออกมาได้ แต่ในขณะที่เราบวชมาแล้วนี่ ใช่ พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ กตัญญูก็ต้องมีอยู่แล้ว ถ้าพ่อแม่ท่านดำรงชีวิตของท่านได้ เราออกแสวงหาของเรา เห็นไหมชีวิตเป็นของเราแล้ว ชีวิตนี้เป็นของเรา

เราเกิดมาเห็นไหม เวลาเกิดมาปฏิสนธิในครรภ์ของมารดาไม่รู้ว่าใครเป็นใครเลย ไม่รู้สิ่งใดๆ เลย พอเกิดมาแล้วด้วยสายเลือดเห็นไหม พันธุกรรม ก็รักพ่อรักแม่ มันอบอุ่นในความผูกพัน มันก็เรื่องธรรมดา แต่ว่าถ้าพอมันแยกออกมาแล้ว เราออกมาชีวิตนี้เป็นของเรา ถ้าชีวิตเป็นของเราเห็นไหม เราเกิดมาชีวิตนี้เป็นของเรา สรรพสิ่งเป็นของเรา ชีวิตเรา เราบริหารของเราสิ เราจริงจังกับเรา ถ้าเราจริงจังกับเรา มันจะเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม นี่คนดี! อยู่ที่ไหนก็เป็นสิ่งที่ดี คนชั่ว! อยู่ที่ไหนมันก็ชั่ว ทำความชั่วของตัวเอง ไปอยู่นั่นก็ทำความชั่ว

ดูสิ ดูเวลาเกิดเห็นไหม สังคมไทยเรา สังคมชาวพุทธ วัฒนธรรมประเพณีของสังคมมันตกผลึกมาเห็นไหม ใครไปขุดเงินขุดทองได้พระทองคำ ได้สิ่งดีๆ เขาก็จะไปถวายวัด เขาไม่เก็บไว้ในบ้านของเขา คนจิตใจเขาสูงส่ง เห็นไหม สิ่งใดเขาไปขุดแล้ว พระเสียหาย พระต่างๆ เขาก็ไปไว้เหมือนกัน เขาก็ไปถวายวัดเหมือนกันเพราะว่าไว้ที่บ้านเขาแล้ว มันจะทำให้บ้านเขามัวหมอง ทำให้บ้านเขาไม่มีความร่มเย็นเป็นสุข

นี่ไง สิ่งดีๆ เขาก็มาถวายวัด สิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ เขาก็ไปถวายวัด แล้ววัดก็เป็นที่สาธารณะไง นี่เหมือนกัน พระที่บวชมาในวัดเรา บวชเข้ามาในวัดเห็นไหม ไปอยู่กับวัด ชีวิตนี้เป็นของเรานะ ชีวิตนี้เป็นของเรา คนดีหรือคนชั่ว มันเป็นวาระ กาลเทศะ อวิชชามันครอบงำ มารมันมีกำลังของมัน ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราต่อสู้กับมัน เอาชนะตนเองให้ได้ เอาชนะความดีความชั่วในใจของเรา ถ้าเอาชนะได้เห็นไหม มันไม่ใช่ปลดเกียร์ว่างนะ

มันต้องต่อสู้กับมันเห็นไหม ต่อสู้กับหัวใจของเรา ต่อสู้กับความคิดของเรานั่นความคิดมันคิดอย่างนี้เพราะเหตุใด มันต้องมีเหตุผลโต้แย้งกับมันสิ ถ้าเหตุผลโต้แย้ง มันคิดมาอย่างนี้ มันคิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วถ้ามีเหตุผลโต้แย้งไปเห็นไหม นี่ตั้งสติขึ้นมา โอ๋ย ถ้าตั้งสติขึ้นมาไม่เอา เพราะตั้งสติขึ้นมายิ่งทุกข์ ยิ่งรับรู้สิ่งต่างๆ ไม่ไหวๆ ปลดเกียร์ว่างเลย นี่ธรรมะพระพุทธเจ้า ว่างๆ เห็นไหม ปลดเกียร์ว่างแล้วเสียหายนะ ธรรมะเกียร์ว่างใช้ไม่ได้

ธรรมะเกียร์ว่างใช้ไม่ได้ ธรรมะเกียร์ว่างเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมะสาธารณะ พระไตรปิฎก ธรรมนี้เป็นสาธารณะ เห็นไหม ทุกคนมีสิทธิ เพราะเกิดมานี่ทุกคนมีสิทธิหมด แต่ถ้าเป็นศีล สมาธิ ปัญญาเกิดกับจิตดวงใด มันจะเป็นธรรมะส่วนบุคคลจากจิตดวงนั้น สมาธิในพระไตรปิฎกเห็นไหม สมาธิในตำรับตำรามันก็เป็น ส เสือ ม ม้า สระอา ธ ธง สระอิ สมาธิ สมาธิอย่างนั้นมันเป็นชื่อ แต่ถ้ามันเกิดในหัวใจของเรา ความรู้สึกของเรา อื้อหือ สมาธิชื่อกับผลที่เกิดในใจเห็นไหม นี่ธรรมะส่วนบุคคล มันมีเหตุมีผล

แต่ธรรมะสาธารณะ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่วางธรรมและวินัยไว้ วางทฤษฎี วางชื่อเสียงเรียงนามในการสื่อสารกันไว้ แต่ผลที่ตอบสนองเกิดจากความจริง มันเป็นธรรมะส่วนบุคคลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้อุปัฏฐาก พระอานนท์ยังต้องการผู้ชี้นำอยู่เห็นไหม เสียอกเสียใจร่ำร้องไห้ขนาดไหน

เวลาพระพุทธเจ้าจะนิพพาน ถามพระว่าพระอานนท์ไปไหน พระอานนท์ไปคร่ำครวญอยู่ที่กลอนประตูหน้าต่าง ไปร้องไห้อยู่ เรียกอานนท์มา อานนท์! เธอร้องไห้ทำไม เราบอกแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา แม้แต่ชีวิตของตถาคตก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา พระอานนท์ก็คร่ำครวญ อยากให้ตถาคตอยู่ต่อไป เพื่อจะได้สั่งสอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังเป็นคนมืดบอดอยู่ ข้าพเจ้าต้องการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำอยู่ อานนท์! เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งที่เราสั่งสอนไว้ ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ เราจะปรินิพพานไป เราก็จะเอาธรรมของเราไปเท่านั้น

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมส่วนบุคคลไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้วางธรรมและวินัยไว้ นี่ธรรมในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เทศน์ธรรมจักรฯ เวลาจักรมันเคลื่อนแล้ว ไม่มีใครจะย้อนกลับมาอีกได้ จักรมันเคลื่อนแล้ว เพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นธรรมอยู่แล้ว เวลาแสดงธรรมออกมาเป็นธรรมจักร จักรที่มันจะทำลายกิเลสไง ไม่ใช่กงจักร ไอ้พวกเราศึกษาธรรมมาเป็นกงจักรไง กงจักรมันก็ทำลายเราหมดเลย ปลดเกียร์ว่าง เกียร์ว่างก็ทำลายเราอีก ทำลายทุกๆ อย่างเลย มันเป็นไปไม่ได้ไง

เพราะเป็นธรรมะสาธารณะ ธรรมที่เราศึกษากันนี่เป็นธรรมะสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ อากาศทุกคนมีสิทธิหายใจหมดเลย ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ธรรมและวินัยเป็นศาสดา ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกันหมดเลย มันเป็นธรรมะสาธารณะเห็นไหม แล้วมันก็ไปปลดเกียร์ว่างด้วยกิเลสของเรา ใครจะว่างมาก ใครจะปลดเกียร์เล็ก เกียร์ใหญ่ เกียร์ของใครจะมีมากมีน้อยก็ปลดกันให้ว่างไปหมดเลย

มันก็เลยไม่ได้อะไร เพราะมันเป็นสาธารณะหมดเลย แต่ถ้าเป็นของเรานะ อากาศเป็นสาธารณะ แต่เรามีปอด เราต้องการออกซิเจน เราก็หายใจของเราสิ พอมันเข้าไปในปอดเรา มันก็ออกมา มันก็เป็นความรับรู้ไปอยู่กับเราชั่วคราว นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นกับเรา มันเป็นธรรมะส่วนบุคคล มันเป็นธรรมารส มันเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาเห็นไหม

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรานะ เราถึงต้องฝืนไง เราถึงต้องฝืน ฝืนกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นในใจ ในใจมันมี ที่เขาว่าจิตของเรามีนิพพานอยู่แล้ว ปลดเกียร์ว่างมันจะเข้าสู่นิพพานเลยเขาว่า จริงอยู่สิทธิเสรีภาพทุกคนมีอยู่เห็นไหม เพราะจิตมีนิพพานอยู่แล้ว สิ่งต่างๆ มีอยู่แล้ว ปลดเกียร์ว่างก็เข้าสู่นิพพานเลย นี่ไง ธรรมะเกียร์ว่าง ถ้าจิตมันมีนิพพานอยู่แล้ว เราประครองไปมันก็จะเป็นอย่างงั้น ถ้ามีนิพพานอยู่แล้ว ถ้าไม่มีการกระทำ มันจะเกิดนิพพานได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

แม้แต่สติก็ต้องฝึก แม้แต่สติก็จะเกิดขึ้นมาจากเรา สมาธิก็เกิดจากเรา ปัญญาก็เกิดจากเรา แล้วปัญญาที่เกิดขึ้นมา ปัญญาที่การกระทำนี้ มันเป็นโลกียปัญญา หรือโลกุตตรปัญญา การศึกษานี่ โลก เห็นไหม โลกทัศน์ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือมนุษย์ โลกคือหัวใจ สัตว์โลกเห็นไหม โลกทัศน์ ความรู้สึก ความคิดมันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากโลก มาจากภพ มาจากสถานที่ตั้ง ความคิดมันลอยมาจากฟ้าหรือ มันก็มาจากอวิชชาไง

กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ตัวภพ ภพชาติของใครของมัน นี่ไงธรรมะส่วนบุคคล กิเลสส่วนบุคคล สัตว์มนุษย์เป็นสัตว์สังคม พออยู่ในสังคมขึ้นมามันก็ระรานกัน มันก็ทำลายกันเห็นไหม มันก็เอาธรรมะ เอาธรรมเข้ามาเจือจานให้กิเลสมันสงบตัวลง ให้อยู่กันในสังคมด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ให้พอมีโอกาสได้หายใจได้บ้าง สิ่งที่พอหายใจได้บ้างเห็นไหม เวลาเราศึกษาธรรมะ ความคิดมันนี่โลกียปัญญามาจากโลก มาจากเรา มาจากอวิชชาหมดเลย

พออวิชชาหมดเลย แล้วเราศึกษาแล้วขนาดไหน อยากได้มรรคได้ผล เพราะทุกคนเห็นไหม จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วธรรมของใครล่ะ ธรรมสาธารณะก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมะเป็นสาธารณะ แต่ถ้าใจเรายังไม่เป็นธรรมนะ แล้วตรึกธรรม มันแปรปรวนนะ วันนี้อารมณ์ดี วันนี้มีความสุข สิ่งต่างๆ ในโลกนี้สวยงามมากเลย วันนี้หัวใจมีแต่ความทุกข์ โลกนี้ไม่น่าอยู่เลย ดูสิ มันแปรปรวน สิ่งที่ว่าเป็นสาธารณะทำไมมันแปรปรวนล่ะ

มันแปรปรวนเพราะใครล่ะ มันแปรปรวนในตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรคงที่หรอก ดูสิ ถ้าเมืองร้างไป สภาพธรรมชาติมันจะปรับตัวของมัน ป่าเขาต้นไม้ลำธารมันจะเกิดขึ้น ป่าเขาจะเกิดของมัน แหล่งน้ำจะปรับตัวของมัน นี่ไง สิ่งนี้ข้างนอกมันก็ปรับตัวของมันเห็นไหม

แล้วหัวใจเราล่ะ แล้วสิ่งที่ว่ามันเป็นธรรมชาติๆ แล้วใจเราล่ะ ใจมันเป็นธรรมอย่างนั้นไหมล่ะ ถ้าปลดเกียร์ว่างจะเป็นธรรมเลยหรือ ปลดเกียร์ว่าง ธรรมะมันเกิดขึ้นมาโดยการศึกษา โดยสิ่งที่เป็นสาธารณะ แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงนะ ความจริงนี่มันต้องสู้ การต่อสู้เห็นไหม การต่อสู้กับใคร การต่อสู้กับตัวเองให้มีสติมีสัมปชัญญะ แล้วต่อสู้ เราถึงมีกำลังใจกัน เพราะเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อเห็นไหม การทำความเพียรของเรามันก็จะเป็นกิจลักษณะ

ครูบาอาจารย์ท่านบอกบ่อย ถ้าขาดสติ การกระทำนั้นถือว่าไม่เป็นการกระทำ นี่เป็นทฤษฎีที่ท่านสอนนะ แต่ความจริงเราปฏิบัติเราได้ไหม นี่ไงปลดเกียร์ว่างไง พอเดินจงกรมก็เหม่อลอยไปเห็นไหม ว่างๆ โอ้เดินจงกรม ๕ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมง แล้วได้อะไรล่ะ ก็ได้เหงื่อได้ไคล แล้วจิตมันมีสิ่งใดตกผลึกในหัวใจ แต่ถ้าเราฝืนมันเห็นไหม เหนื่อยไหม ทุกข์ยากไหม ทุกข์ยาก แต่ถ้ามันมีสติปัญญาของมัน มันไล่ของมันเข้าไป เวลามันปล่อยวางแต่ละรอบ เวลาจิตมัน โอ้โฮ โลกนี้สุขมาก โลกนี้สุขเห็นไหม นี่สมาธิธรรม สมาธิมันเกิดขึ้นมานี่ ผลนี้มันจะเป็นส่วนบุคคลแล้ว ส่วนของเรา

ในทางโลกเขาต้องการสินค้าสิ่งใด เขาต้องการสิ่งก่อสร้างสิ่งใด เขาไปสั่งซื้อ เขาไปแสวงหา สั่งคนเอามาให้ได้หมดล่ะ ถ้าเขามีเงินแลกเปลี่ยนมา แต่ถ้าเป็นทางธรรม มันไม่มี ในตำราก็เขียนไว้ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ เห็นไหม งานชอบ เพียรชอบ มีหมดล่ะ แต่มันเอาที่ไหนล่ะ แม้แต่ลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านก็เทศนาว่าการ เพียงแต่คอยให้กำลังใจ คอยยุยงส่งเสริมให้เรากล้าหาญ ความกล้าหาญมันไม่อับเฉา กองทัพ ขวัญและกำลังใจของกองทัพนั้น ถ้าขวัญและกำลังใจกองทัพนั้นสมบูรณ์ การออกรบทัพจับศึกมันจะได้ชัยชนะตลอดไป

แต่ถ้าขวัญกำลังใจไม่มี กองทัพจะเข้มแข็งขนาดไหน แต่ไม่มีขวัญกำลังใจ กองทัพไปเจอข้าศึกที่กำลังน้อยกว่าแต่เขามีความฮึกเหิมที่มากกว่า เราทำอย่างไรก็ต่อสู้เขาไม่ไหว มันแตกพ่ายตั้งแต่ยังไม่ออกรบ นี่ก็เหมือนกันถ้าเรามีความเชื่อมั่น เรามีความศรัทธาของเรา เรามีการกระทำของเราเห็นไหม เรามีขวัญกำลังใจ มีสติสัมปชัญญะสู้กับใครล่ะ ก็สู้กับกิเลสไง ตีเหล็ก เขาตีเหล็กตอนเหล็กมันร้อนๆ นะ ตอนเหล็กมันแดงๆ เขาตีกันแล้วนะ เขาไม่ตีเหล็กตอนที่มันเย็นหมดแล้วล่ะ

ขณะที่เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อของเรา ในร่างกายเรายังปกติอยู่ เรายังไม่แก่เฒ่า จนการเคลื่อนไหวของเราลำบากลำบน เรามีก็ต้องมีความเร่งความเพียรของเรา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนเราต้องแก่เฒ่าไปเป็นธรรมดา โลกชรามันมีกับทุกๆ สัตว์โลก ตัวชราภาพมันมีของมันอยู่แล้ว แล้วเราจะมานอนใจอยู่ได้อย่างไร เรายังมีโอกาสอยู่ ทำไมเราไม่รีบขวนขวาย ทำไมไม่เตือนตนล่ะ การเตือนตนอย่างนี้เห็นไหม มันก็เกิดขวัญกำลังใจขึ้นมาที่จะต่อสู้

ในการที่มาอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านจะให้ขวัญกำลังใจ ท่านจะยุส่งเสริม ครูบาอาจารย์ท่านพูดเห็นไหม ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นน่ะยุเหมือนกับหมาตัวหนึ่งเลย มันฮึดฮัดๆ มันจะเอาให้ได้ไง ความฮึดฮัดนั่นเห็นไหม มันจะทำให้ขวัญกำลังใจของเราในการต่อสู้ ในการปฏิบัติของเรามันมีคุณค่าขึ้นมา

การปฏิบัติต้องมีสติก่อน ถ้ามีสติ การเดินก็เดินด้วยมีสติสัมปชัญญะของมัน ไม่ต้องสร้างภาพใหม่ขึ้นมา ไม่ต้องสร้างว่า ต้องอยากรู้อยากเห็นสิ่งใดๆ เพราะขณะที่เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี้ เราไม่ต้องการอยากรู้สิ่งใดๆ เลย เราต้องการให้จิตมันมีอิสรภาพ ถ้าจิตมันมีอิสรภาพขึ้นมา ถ้ามีสติสัมปชัญญะขึ้นมาเห็นไหม เวลามันว่างของมัน มันไม่ใช่ปลดเกียร์ว่าง มันว่างด้วยเหตุด้วยผล มันมีการกระทำของมัน พอมันว่างขึ้นมาเห็นไหม ว่างแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อไป

ความว่างของจิตนี่มันมีความสำคัญมาก ถ้าไม่มีความว่างของจิต มันไม่มีทางดำเนินขั้นตอนกันต่อไปได้ ดูอย่างเช่นรถ ถ้ามันอยู่ในเกียร์ เราจะติดเราจะสตาร์ทเครื่องไม่ได้หรอก เพราะมันอยู่ในเกียร์เห็นไหม มันต้องมีเกียร์ว่างไว้ปลดมาเพื่อจะติดเครื่อง พอติดเครื่องขึ้นมาแล้ว ถ้าเราไม่ใส่เกียร์ รถมันจะออกไปได้อย่างไร รถออกไปไม่ได้หรอก ถ้ารถไม่ได้ใส่เกียร์ รถมันออกไปไม่ได้ ว่างมันก็ติดเครื่องฮึ่มๆๆ อยู่งั้นล่ะ คำว่าติดเครื่องฮึ่มๆๆ เพราะอะไร เพราะมันมีเครื่อง มันมีทุกอย่าง มันมีพร้อมไง

นี่ก็เหมือนกัน มันมีความเพียร มันมีสติ มันมีการกระทำ มีการเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา มีการต่อสู้ขัดขืนฝึกฝืนใจของเรา นี่มันเป็นมรรคหมดล่ะ แต่ถ้ากิเลส มันจะบอกว่า สิ่งนี้เป็นความทุกข์หมดเลย ทำลงไปแล้วได้สิ่งใดขึ้นมา ถ้าปลดเกียร์ว่างขึ้นไปแล้วสุขสบายเห็นไหม นี่ธรรมะอย่างนี้ถูกต้อง ธรรมะเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า มันเป็นธรรมะพระพุทธเจ้า มันเป็นธรรมะสาธารณะ แต่ใจเราล่ะ ใจเราได้อะไร เรารู้จริงไหม

รสของธรรมชนะรสทั้งปวง ความสัมผัสของใจมันมีไหม ถ้าความสัมผัสของใจมีขึ้นมาเห็นไหม มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก ใจมันปัจจัตตัง มันมีความอาจหาญ มันมีความรื่นเริงของมัน แม้แต่แค่รสของธรรมเห็นไหม รสของสมาธิธรรม มันก็พออยู่พอกิน ทำให้จิตใจร่มเย็น พอจิตใจร่มเย็นเห็นไหม ถ้ามีสติ มีสัมปชัญญะ มีครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้แนะ

ถ้าไม่คอยชี้แนะเห็นไหม ก็ปลดเกียร์ว่าง ธรรมะเกียร์ว่างก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมะ สิ่งนั้นเป็นนิพพาน เพราะจิตมันมีนิพพานอยู่แล้ว แค่ปลดว่างมันก็เข้าสู่นิพพานได้ มันเป็นไปไม่ได้ ปลดไปมันก็ปลดเกียร์ว่างเห็นไหมโดยไม่รับผิดชอบชีวิตเลย ไม่รับผิดชอบสิ่งใดๆ เลย มันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ มันได้สิ่งใดขึ้นมา มันไม่ได้สิ่งใดๆ ขึ้นมาเลย มันเป็นอวิชชา มันเป็นความหลงอันหนึ่ง แม้แต่จิตมันสงบขนาดไหนเห็นไหม นี่เป็นอุปกิเลสถ้าจิตมันสงบ

แต่ถ้าจิตไม่สงบไม่ได้อะไรสิ่งใดๆ เลย มันเป็นสัญญาอารมณ์ที่สร้างขึ้นมาด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าที่อ้างอิง แล้วเวลาพูดธรรมะก็จะพูดถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว พูดธรรมะของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม สมาธิก็เป็นสมาธิของเรานะ ฉะนั้นเราต่อสู้กับเรา เราสร้างสติของเราขึ้นมา สติขึ้นมา สมาธิขึ้นมา แล้วถ้ามันปลดเกียร์ว่าง เกียร์ว่างแบบมีเครื่องยนต์ เกียร์ว่างแบบมีการกระทำ แล้วเราจะใส่เกียร์อย่างไร มีครูบาอาจารย์ท่านคอยแนะ คอยชี้ คอยบอกเห็นไหม การใส่เกียร์ ฉะนั้นมันเปรียบเทียบได้

ในปัจจุบันนี้เห็นไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยโลกียปัญญา โดยปัญญาสามัญสำนึก เราก็บอกเลยเราพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เราพิจารณาของเราไปนะ พิจารณาว่านี่พิจารณาแล้วใช้ปัญญาแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า จะปลดเกียร์ว่าง นี่มันเป็นโลกียปัญญา ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาโดยข้อเท็จจริง กาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นได้ทั้งสมถะ มันเป็นได้ทั้งวิปัสสนา เป็นได้ทั้งสมถะเพราะอะไร

เพราะจิตใจของเรา ถ้ามันเป็นปุถุชน มันเป็นคนหนา การคิดด้วยกาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม มันพิจารณาแล้วมันจะหดสั้นเข้ามา ใจมันจะหดสั้นเข้ามา คนเราเห็นไหมดูสิ นี่พูดพิจารณาร่างกาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม สิ่งนี้มันเป็นความรู้สึกของเราอยู่แล้ว อย่างเช่นเราคิดถึงความตายสิ เราต้องตาย จิตใจเราจะเป็นอย่างไร แต่เราคิดถึงสมบัติสิ เราคิดถึงการไปแสวงหาผลประโยชน์สิ จิตใจมันคิดเป็นอย่างไร นี่พอจิตใจมันคิดเห็นไหม พอจิตใจมันคิดขึ้นมา มันสลดสังเวชของมันเข้ามา

นี่ไง คำว่าสมถะ คือมันจะหดตัวของมันเข้ามา เป็นอิสรภาพของมัน เป็นอิสรภาพ สมาธิคือจิตที่เป็นอิสรภาพชั่วคราว ความเป็นอิสรภาพมันเพราะอะไร เพราะมันเป็นสมถะไง สิ่งที่ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา ถ้าเป็นได้ทั้งสมถะเพราะอะไร เพราะจิตใจเรานี่มันเป็นปุถุชนคนหนา เพราะถ้ามันหดสั้นเข้ามา หดเข้ามาในตัวของมันเอง มันเป็นสมถะ

แต่ถ้าเราไม่เข้าใจไง ธรรมะสาธารณะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบอกว่าเราพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม การพิจารณาแล้ว ใช้ปัญญาแล้ว ปัญญาปฏิบัติสายตรง ปัญญาใคร่ครวญวิปัสสนาเลย ผู้ที่ทำสมถะ ผู้ที่ทำความสงบของใจขึ้นมาน่ะ ผู้นั้นมันจะเกิดเป็นสมถะ มันจะไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดๆ เลย เพราะสมถะไม่เกิดปัญญา แต่ไม่รู้เลย ว่าสิ่งที่ใช้ปัญญาอยู่นั้นน่ะ มันก็คือสมถะ! เพราะมันเป็นได้ทั้งสมถะ มันเป็นได้ทั้งวิปัสสนา

แต่เพราะเป็นสมถะ เวลาเป็นสมถะขึ้นมาแล้วก็ไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม พิจารณาแล้วมันก็ว่าง นี่ไง ธรรมะเกียร์ว่าง ธรรมะเกียร์ว่างโดยอวิชชา โดยความไม่รู้สึกตัวของตัว ด้วยความไม่รู้ไง หลง ปฏิบัติแล้วหลง แต่ถ้าปฏิบัติแล้วไม่หลงล่ะ สิ่งที่พิจารณาเห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา เราใช้ปัญญาใคร่ครวญนี่แหละ

ฉะนั้น ดูสิ เวลาพิจารณาคิดถึงซากศพ พิจารณาต่างๆ มีผู้ที่ปฏิบัติเยอะมากนะ บอกพิจารณาแล้ว พิจารณาซากศพ พิจารณานะเห็นเลย เห็นทุกอย่างมันแปรสภาพ มันแปรสภาพเลยนะ มันกระอักกระอ่วน มันทำให้จิตใจรักษาได้ง่าย ไม่งั้นแล้ว จิตใจของเราจะโดนรบกวนด้วยความปรารถนา ความแรงกล้าของจิต มันจะถูกรบกวนมีความทุกข์มาก แต่ถ้าพิจารณาไปแล้วนี่มันจะปล่อยหมดเลย มันว่างหมดเลย เห็นไหมเขาบอก

มันว่างอย่างนั้น มันว่างแบบเป็นที่ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา เพราะในเมื่อสามัญสำนึกเรายังเป็นปุถุชนอยู่ เรายังเป็นโลกียปัญญาอยู่ ความคิดสิ่งต่างๆ มันก็เป็นโลกียปัญญาทั้งหมด มันเป็นปัญญาโลกทั้งหมด ปัญญาโลกนี้เกิดจากอะไร โลกทัศน์ไง เกิดจากใจเราไง มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลกๆ มันจะเป็นวิปัสสนาไปได้อย่างไร

มันเป็นวิปัสสนาไปไม่ได้เลย แต่เพราะธรรมะเกียร์ว่าง เพราะความไม่เข้าใจ ว่าสิ่งต่างๆ เห็นไหม เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะสาธารณะ เป็นธรรมะที่จริง ธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่จริง เพราะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ปรินิพพานไปแล้ว แล้วแสดงธรรมไว้จริงไหม จริง!

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมะพระพุทธเจ้านี่จริง ธรรมะสาธารณะ ทฤษฎีอันนั้นจริง แต่หัวใจเรายังไม่จริง พอพิจารณาไปเห็นไหม พิจารณาโดยปัญญาสายตรงนี่ มันพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมต่างๆ มันก็ปล่อยเข้ามา มันคือสมถะ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องการปรารถนาสมถะ ไม่ต้องการความสงบนะ ต้องการวิปัสสนา แต่ผลของมันเป็นสมถะ ผลของมันเป็นสมถะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ท่านรู้หมดล่ะ

ถ้าครูบาอาจารย์ที่ผ่านการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ท่านรู้ของท่าน แต่มันเป็นทิฏฐิ มันเป็นอำนาจวาสนาของคนเห็นไหม พรหมจรรย์นี้เพื่อใคร พรหมจรรย์นี้เพื่อพรหมจรรย์นะ เราประพฤติปฏิบัติกันทุกคนนะ ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนที่ประพฤติปฏิบัติก็ประพฤติปฏิบัติเพื่อตัวเอง เพื่อต้องรื้อค้นเอาตัวเองให้รอดให้ได้ก่อน ถ้าเราเอาตัวเองให้รอดไม่ได้นี่ สิ่งต่างๆ เราจะช่วยเหลือใครได้ คนจมน้ำด้วยกัน ใครไปช่วยก็กอดกันก็จมน้ำลึกลงไปนั้นนะ เพราะสองคนมีน้ำหนักมากขึ้น แต่ถ้าคนจะจมน้ำคนเดียว ต่างคนต่างลอยคอ ต่างคนต่างแสวงหาทางออก จะเอาตัวรอดให้ได้เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลของเราเห็นไหม โลกทัศน์ของเรา สิ่งต่างๆ ของเรา ถ้าเราแก้ไขที่นี่ ผลของมันคือสมถะ คำว่าสมถะคือมันสงบ มันว่างไง มันปล่อยไง เพราะอะไร เพราะเราใช้ปัญญาใคร่ครวญ ใคร่ครวญในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม เป็นสมถะ สมถะคือมันปล่อยเข้ามาเป็นอิสรภาพเข้ามา ทีนี้อิสรภาพเข้ามาแล้วนี่ ถ้าพิจาณาซ้ำไป การพิจาณาซ้ำไป จากสมถะเห็นไหม มันมีจิตไง มีผู้การกระทำไง นี่ไงธรรมะส่วนบุคคล

ธรรมะเกิดที่ไหน ธรรมะเกิดในหัวใจของสัตว์โลก ธรรมะที่จะสัมผัสได้คือนามธรรมที่ความรู้สึกนี้สัมผัสธรรม สิ่งที่เราศึกษานะ เราศึกษาเข้ามาโดยสายตาใช่ไหม ศึกษาโดยการศึกษาเห็นไหม การศึกษาอย่างนี้ มันเป็นอะไรล่ะ นี่สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ถ้าธรรมะเกิดจากใจเห็นไหม ธรรมะเกิดจากการภาวนา ถ้าเกิดจากการภาวนา ถ้าสงบเข้ามามันรู้ว่ามันสงบ พอรู้สงบขึ้นมา ถ้ามันดำเนินการต่อไปเห็นไหม จากสมถะจะเป็นวิปัสสนา

ถ้าจิตมันสงบแล้วมันออกเห็นกาย ออกพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม มันต่างกัน มันต่างกับโลกียปัญญา โลกียปัญญานี่มันเหมือนกับทางวิชาการ สิ่งที่เราทำวิจัยเรารู้ได้ ทุกคนรู้ได้ ทุกคนบอกได้ ทุกคนทางวิชาการเข้าใจได้ แต่ถ้ามันเป็นวิปัสสนานะ มันไม่เข้าใจ ถ้าคนวิปัสสนาหรือคนที่มีความลึกซึ้งกว่ากัน คนที่ยังไม่ถึงเข้าใจไม่ได้ เข้าใจสิ่งนั้นไม่ได้ เข้าใจสิ่งนั้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่เกิดความเป็นจริง เพราะมันไม่มีหัวใจไง ไม่มีตัวจิตไง ไม่เป็นสัมมาสมาธิไง ไม่มีภวาสวะตัวภพ ตัวภพที่ออกไปค้นคว้า ออกไปรื้อหา

แต่ถ้าพิจารณาโดยโลกียปัญญา โลกียปัญญาใช่ไหม จิตเป็นธาตุรู้ เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์นี่มีภาษา มีสมอง มีความคิด โดยธรรมชาติของมัน มันต้องคิดอยู่แล้วเห็นไหม สิ่งที่คิดนี่ใครเป็นคนคิด มันมีอยู่แล้วไง ของที่มันคิดอยู่แล้ว แล้วธรรมะพระพุทธเจ้ามีใช่ไหม มันก็สวมรอยไง นี่ไงพอสวมรอยขึ้นมา มันก็ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงตามธรรมะของพระพุทธเจ้าไง มันปลดเกียร์ว่างแล้ว ว่าง ปลดเกียร์ว่างเลย มันจะเสียโอกาสกับตัวเองนะ

แต่ถ้ามันเป็นธรรม มีครูบาอาจารย์คอยบอก เราทำความสงบของใจเข้ามา จะเป็นสมาธิอบรมปัญญาหรือปัญญาอบรมสมาธิ อยู่ที่ความถนัด อยู่ที่โอกาส อยู่ที่จังหวะ ไม่จำเป็นจะว่าต้องพุทโธ พุทโธ อย่างเดียว เพราะพุทโธอย่างเดียวนี่ มันก็ว่าอย่างอื่นจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิก็มี แต่ต้องเป็นข้อเท็จจริง เป็นตามความเป็นจริงนั้น ถ้าเป็นตามความเป็นจริงนั้น พอมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมา มันเป็นสมถะหรือเป็นวิปัสสนา เราจะไปเดือดร้อนสิ่งใดล่ะ มันก็เป็นผลงานของเรา

เราจะไปรังเกียจแขนขาร่างกายเราทำไมล่ะ แขนขาร่างกายนี่สุขภาพของเรา ก็คือของเราใช่ไหม จิตของเรานี่ วิวัฒนาการ การผ่านของมัน มันก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาโดยธรรมชาติของมัน เราบอกเรารังเกียจมากแขนขาของเรานี่ เราไม่ต้องการเลย แต่มันอยู่กับเรานี้ทำอย่างไร สิ่งที่เป็นนามธรรม ความคิดของเรา มันอยู่กับเราอย่างนี้ แล้ววิวัฒนาการของมัน การพัฒนาการของมัน ที่มันจะพัฒนาการของมัน มันต้องเป็นอย่างนี้

ถ้าเป็นอย่างนี้เห็นไหม มันทำไปแล้ว มันเป็นจริตเป็นนิสัย เป็นอำนาจวาสนาของคนเห็นไหม ดูสิ เวลาภาวนากัน จิตของคนที่มันสงบ มันสงบแล้วมันคึกคะนอง เห็นไหม พอจิตสงบลงมา มันรู้มันเห็นแปลกประหลาดลึกลับมหัศจรรย์ สิ่งที่แปลกลึกลับมหัศจรรย์ ถ้ามันควบคุมมีสติปัญญา มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ มันก็ไม่เสียหายอะไร เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิตดวงนี้ จิตดวงนี้เขาได้สร้างอำนาจวาสนา เขาได้สร้างบุญกุศลของเขา มันเป็นธรรมชาติของมัน

ถ้าจิตดวงใดมันสงบโดยเรียบง่าย สงบโดยที่ว่าไม่เห็นนิมิตต่างๆ มันก็ไม่เสียหาย มันเป็นโดยคุณภาพของจิต มันเป็นโดยอำนาจวาสนาบารมีการกระทำที่สร้างมา ไม่ใช่ว่าทำพุทโธหรือกำหนดทำสมาธิแล้วมันจะติดนิมิต มันจะกำหนดอะไร มันก็เป็นกันหมดล่ะ ในเมื่อคุณภาพของจิตเป็นอย่างนี้ จะไปทำสิ่งใดก็เป็นอย่างนี้

เราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไง ธรรมะสาธารณะบอกว่า สิ่งต่างๆ เห็นไหม ถ้ามันเป็นสมถะ มันจะเกิดนิมิต มันจะไปทำให้ติดเสียเวลา จะติดไม่ติดมันอยู่ที่อำนาจวาสนา ความฉุกคิดไง มันสงสัยตัวเอง มันถามตัวเอง อันนี้คืออะไร อันนี้จริงหรือไม่จริง เวลาเราจิตมันสงบเข้าไปแล้วนะ เวลาจิตสงบเข้าไปเห็นสิ่งต่างๆ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าสิ่งที่รู้ที่เห็นเป็นอะไร ให้ย้อนกลับไปถามจิตตัวเอง จิตตัวเองมันสร้างภาพนะ

นิมิตต่างๆ มันเกิดขึ้นมา เกิดจากจิต ถ้าจิตมันสร้างขึ้นมาแล้ว จิตมันหลอกจิตไง มันสร้างภาพขึ้นมาแล้วก็งง ภาพของตัวเอง แต่พอกลับไปถามมัน สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากใครล่ะ ถ้ามันไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ สิ่งใดก็เกิดไม่ได้หมด สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่มันต้องมีเหตุมีปัจจัยของมัน มันต้องมีภพ มีสถานที่ มันถึงมีภาพนั้นขึ้นมา แต่ถ้ามีสติขึ้นมาเห็นไหม ย้อนกลับมาที่จิตนั้นจะตอบได้เลย ถ้ามันเป็นอำนาจวาสนาของคนที่ไปเห็น รับรู้ต่างๆ ในโลกของในวัฏฏะนี้

นั่นก็เป็นเพราะสายบุญสายกรรม ถ้าจะถามจิตก็รู้อีกแหละ ถ้าเราไม่รู้ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเคยมีประสบการณ์ของท่าน เราก็ถามท่าน นี่ พูดถึงถ้าทำความสงบของใจ ทำสมถะแล้วมันจะมีอารมณ์ความรู้สึกที่ว่ามันเป็นโทษ มันเป็นโทษนะ คำว่าเป็นโทษ ทำให้เราเนิ่นช้า ทำให้กำลังของเรา ทำให้สมาธิของเรานี่อ่อนค่าลง อ่อนค่าไง แก่ค่าขึ้นมาพอเราทำมั่นคงขึ้นมานี่สมาธิมันจะมั่นคง แต่ถ้าเราใช้บ่อยมากหรือเราใช้ต่างๆ นี่ สมาธิมันจะเจือจางไป

ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะคอยบอกขึ้นมา การกระทำต่างๆ การประพฤติปฏิบัติของทุกๆ คนมันจะมีอุปสรรค หน้าที่การงานของเรา ชีวิตของเรานี่มันจะราบรื่นจนไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคเราเลยหรือ นี่พูดถึงชีวิตในปัจจุบันนะ แต่ในการประพฤติปฏิบัติมันมากกว่านั้นอีกเพราะ เพราะกิเลสมันต่อต้านทุกๆ วิธีการที่กระทำ เราอย่าคิดนะว่าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างจะสะดวกสบาย เวลาเราปรารถนา เราทำคุณงามความดีแล้วมันจะเรียบง่าย มันจะสะดวกสบายไปหมด มันเป็นไปไม่ได้หรอก

มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กิเลสนะ กิเลสเกิดจากจิต กิเลสเป็นสิ่งที่มีชีวิตไหม ดูสิ ในทางปริยัติเห็นไหม ที่เขาเขียนกันกิเลสเป็นยักษ์เป็นมาร มันเป็นอย่างนั้นไหม จิตเราเป็นสิ่งที่มีชีวิต ธาตุรู้เป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่แล้วอวิชชาที่ครอบงำมันอยู่ ที่มันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับจิต มันครอบงำกันอย่างไร แล้วมันจะปล่อยเราหรือปล่อยให้จิตดวงนี้พ้นไปจากอำนาจของมัน ในพระไตรปิฎกเห็นไหม ที่ว่ามารต่างๆ ต่อสู้กัน มันเป็นบุคคลาธิษฐาน

แต่ว่าถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความคิด แล้วความคิดถูก คิดผิด แล้วมันมีทิฏฐิมานะอะไรในใจ ตรวจสอบมาหมด เอามาตีแผ่แล้วตรวจสอบหมดเลย เอามาตีแผ่แล้วตรวจสอบขนาดไหน ถ้าเกิดปัญญาโดยวิปัสสนาญาณ ปัญญานี้มันทัน เพราะปัญญาในพุทธศาสนาคือ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง แล้วปัญญามาตีแผ่มันน่ะ สิ่งที่มันอึดอัดขัดข้องในหัวใจสิ่งต่างๆ เอามาตีแผ่ๆ นี่ ทำอย่างนี้

มันถึงจะเป็นการต่อสู้กับกิเลส ไม่ใช่ปลดเกียร์ว่าง รู้ธรรมะพระพุทธเจ้าหมดแล้ว ต้องทำความสุขสบายหมดแล้ว ทุกอย่างปลดว่างหมดเลย ว่างหมดเลย ธรรมะเกียร์ว่างทำให้เราเสียหายนะ แต่ธรรมะตามความเป็นจริง เอามาตีแผ่ เอามาต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับใคร ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจไง สิ่งที่มันเกิดมาในหัวใจเอามาตีแผ่ ตีแผ่ พอตีแผ่ขึ้นมา เราทุกคนปรารถนาความดีทั้งนั้น ทุกคนปรารถนาพ้นจากทุกข์ทั้งนั้น

แล้วทำไมมันไปไม่ได้ล่ะ ทำไมไม่พ้นทุกข์ มันไม่พ้นทุกข์เพราะสิ่งนี้มันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับใจ จะคิดธรรมะขนาดไหน สิ่งนี้มันก็บวกมาตลอด แต่พอเราตีแผ่มัน เพราะเวลาเราตรึกในธรรม เพราะเราใช้ปัญญาของเราแล้ว มันมีสิ่งนี้เจือปนเข้ามาเห็นไหม มันก็ไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มันไม่สะอาดบริสุทธิ์เห็นไหม เรารื้อ เราค้น เราพิจารณาของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งต่างๆ ในการกลั่นกรองด้วยมรรคญาณนะ

ในการกลั่นกรองด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญานี่ใช้ปัญญามากเกินไป หรือใช้ปัญญาบ่อยครั้งเข้า พอสมาธิมันเสื่อมไป สิ่งที่เป็นปัญญานี่มันก็จะเป็นโลก มันเป็นสัญญา พอเป็นสัญญาขึ้นมา เห็นไหม เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา ให้มันมีกำลังมากขึ้น พอมันมีกำลังมากขึ้นเห็นไหม มันมีกำลังมากขึ้น ปัญญาที่จะเกิดขึ้นมามันก็จะรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความคิด ความปรุง ความแต่ง นี่ตีแผ่บ่อยครั้งเข้า มันจะเห็นโทษ พอเห็นโทษขึ้นมา

นี่ไงครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย กิเลสเรา หัวใจเรา ความคิดเรา ทำร้ายตัวเราเอง คนอื่นไม่มีหรอก คนอื่นทำร้ายเราไม่ได้เลย แม้แต่เขาจะติฉินนินทาขนาดไหน มันอยู่ข้างนอก เราจะรับรู้ก็ได้ จะไม่รับรู้ก็ได้ เขาชื่นชมเราขนาดไหน แต่เราก็เข้าใจผิด เข้าใจว่าเขาติฉินนินทาเรา หัวใจเรารุ่มร้อนเห็นไหม ทั้งๆ ที่เขากล่าวชมเรา เขาปรารถนาดีกับเรา เขาปรารถนาดี เขาพยายามตักเตือน เขาให้คุณความดีกับเรา

แต่เพราะความเข้าใจผิดของเราเอง เห็นไหม ใครทำร้ายเรา ความคิดของเราเองทำร้ายเราเอง ถ้าความคิดเราทำร้ายเราเองเห็นไหม แล้วเรามาตีแผ่มัน เรามาต่อสู้กับมัน เราจะต่อสู้กับสิ่งที่มาทำร้ายเรา มันทำร้ายเรานะ กิเลส อวิชชานี่มันอยู่ในหัวใจ มันทำร้ายเราให้เราเข้าไปถึงคุณธรรมที่พึ่งที่จริงได้ยาก เราก็ต้องมีการกระทำ ต้องมีการกระทำ

ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ ดูสิทางโลก ผู้บริหาร ผู้ปกครองประเทศ ขึ้นไปปี ๒ ปีนะ โทรมหมดเลยนะ มันต้องดูแล มันเครียดมาก นี่พูดถึงงานทางโลก แต่งานในการประพฤติปฏิบัติ เวลาปัญญามันหมุนขึ้นมา เวลาใช้ปัญญา ปัญญาจะหมุนไปอย่างไร เวลาปัญญาที่มันจะฆ่ากิเลส มันเหนื่อยมาก ในการกระทำ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ของเรานี่ล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานจากหัวใจด้วย ล้มลุกคลุกคลานจากร่างกายของเราที่จะต่อสู้กับมันนี้ด้วย

เพราะถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ในการประพฤติปฏิบัติจะเอาอะไรมาต่อสู้มัน ร่างกายก็ต้องแข็งแรง ต้องมีอาหาร ต้องมีสิ่งต่างๆ เพื่อบำรุงมัน เห็นไหมบำรุงพอประมาณ ถ้าเราบำรุงกันจนเกินไป มันก็เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทับจิต ถ้ามีกำลังเหลือใช้ กำลังเหลือนี่มันก็จะกดทับจิต แล้วก็ง่วงเหงาหาวนอน นั่งก็อ้าปากหาวๆ นั่นล่ะ ธาตุขันธ์ มันทับจิต มันไม่ให้จิตเป็นอิสรภาพ เราก็ผ่อนโดยมัชฌิมาปฏิปทา โดยความสมดุลของมัน เพื่อให้จิตมีอิสรภาพในการทำความสงบของใจเข้ามา

ในหัวใจเห็นไหม สิ่งต่างๆ ที่มันคิดขึ้นมานี่ มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา เพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสไง ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อสู้กันในหัวใจของเรา เห็นไหม กิเลสกับธรรมนะ ถ้าเราต่อสู้ไป ถ้ากิเลสมีกำลังมากกว่า เราจะล้มลุกคลุกคลานเลย ล้มลุกคลุกคลานจากร่างกาย ล้มลุกคลุกคลานจากการประพฤติปฏิบัติ ล้มลุกคลุกคลานจากหัวใจ ล้มลุกคลุกคลานจากหน่อพุทธะมันตั้งขึ้นมาไม่ได้

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันเสียใจนะ ต่อสู้เพื่อจะเอาจริง ต่อสู้เห็นไหม ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะสาธารณะ เราพยายามต่อสู้ให้เรารู้จริง ให้เป็นสมบัติของเราบ้าง มันต่อสู้กันไปแล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน มันเสียอกเสียใจนะ แล้วจะทำอย่างไร ก็ต้องสู้กับมันใหม่ ต้องหากำลังใจ หาสิ่งต่างๆ จะสู้ให้ได้ จะสู้ให้ได้ จะแพ้อย่างไรก็จะสู้ เห็นไหม

ล้มลุกคลุกคลานจากข้างนอก เราก็ใช้ข้อวัตรปฏิบัติคอยควบคุมดูแล แต่ถ้าล้มลุกคลุกคลานจากหัวใจ มันทุกข์มาก เรายืนไม่ได้เลย เราทำอะไรก็ไม่ได้เป็นผลดั่งใจเลย แล้วทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ เห็นไหม พอมันเป็นแบบนี้ เราก็ต้องตั้งสติของเรา มนุษย์ทุกคนก็เป็นแบบนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ท่านเป็นมนุษย์แล้วท่านทำได้ เราเป็นมนุษย์แล้วทำไมทำไม่ได้ล่ะ

ใช่! อำนาจวาสนาบารมีของคนต่างแตกต่างกัน แต่อำนาจวาสนาบารมีเราไม่มีเลยหรือ ถ้าอำนาจวาสนาบารมีเราไม่มี ทำไมเรามีความสนใจล่ะ ทำไมเรามีการอยากประพฤติปฏิบัติล่ะ ถ้าเรามีอำนาจวาสนาบารมี เราก็ต้องสู้กับมันเห็นไหม ไม่ให้หัวใจมันล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม มันก็จะสู้ขึ้นมา การต่อสู้เห็นไหม การฆ่าที่ประเสริฐที่สุดคือการฆ่ากิเลสของเรา

ที่บอกว่าการต่อสู้ มันเป็นการรุกรานกัน มันเป็นการทำลายกัน การต่อสู้เพื่อให้กิเลสเราสงบตัวลง ไม่เป็นการรุกรานหรอก สิทธิส่วนบุคคลเห็นไหม เวลาบอกว่าพวกเราเกิดมาเห็นไหม จิตนี้เป็นนิพพานอยู่แล้ว มันมีจิตอยู่แล้ว จิตต้องเป็นนิพพาน ถ้าจิตเป็นนิพพานอยู่แล้วไม่ต้องมาเกิดก็ได้ เพราะเป็นนิพพานไปแล้วไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เลย เพราะจิตเป็นนิพพานอยู่แล้วก็เข้านิพพานไปเลยสิ ทำไมยังมาเกิดเป็นมนุษย์อีกล่ะ นี่ไง ในเมื่อเวลาบอกว่าจิตเป็นนิพพานอยู่แล้ว เรายังคิดว่ามันยังมีอยู่กับเราเห็นไหม

ทีนี้สิทธิเสรีภาพมันมีอยู่กับเราแล้วนี่ ถ้าเราจะให้มันเป็นนิพพานขึ้นมาให้ได้ เราต้อง ต้องสู้กับมันเพราะมันมีนิพพานไม่ได้หรอก เพราะมันยังเวียนตายเวียนเกิด เกิดมานี่มันจะนิพพานได้อย่างไร เพราะมันมีอวิชชามันถึงมาเกิดใช่ไหม ถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว ในการกระทำ เพราะเรามาศึกษาธรรม เราเกิดแล้วมีโอกาส เกิดมาแล้วพบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธในกึ่งพุทธกาลที่มีการปฏิบัติกำลังรุ่งเรืองขึ้นมา รุ่งเรืองขึ้นมาเราก็สู้กับเราสิ

นี่ไง ธรรมาวุธ เกิดสติธรรม เกิดสมาธิธรรม เกิดปัญญาธรรม จะเข้าไปต่อสู้กับกิเลสของเรา เราก็ตั้งใจของเรา จงใจของเราเข้าไปต่อสู้ ต้องต่อสู้ขัดขืน ต้องทุกๆ อย่างเลย แล้วเราจะดีเอง คนที่ขยันหมั่นเพียร คนๆ นั้นจะไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ คนจะล่วงพ้นทุกข์ได้ด้วยความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ ไม่มีใครเคยล่วงพ้นทุกข์ได้ด้วยความมักง่าย คนมักง่าย คนเอารัดเอาเปรียบ คนจะเอาสะดวกสบาย คนๆ นั้นจะเข้าถึงธรรมไม่ได้หรอก เพราะสิ่งที่ว่ามักง่าย การเอารัดเอาเปรียบนี่มันกิเลสทั้งนั้น

เอากิเลสไปแก้กิเลส มันเอาวิธีไหนมีล่ะ เอาความสกปรกไปล้างความสกปรก มันเอาที่ไหนมี มันก็ต้องเอาความสะอาดไปล้างความสกปรกใช่ไหม ทุกคนขี้เกียจ ทุกคนเบื่อหน่ายทั้งนั้นล่ะ นี่คือกิเลส เราก็ต้องขยันหมั่นเพียร เราต้องมีความมุมานะ เราต้องมีความอุตสาหะ นั้นคือธรรม เอาธรรมไปต่อสู้กับกิเลส เอาความขยันหมั่นเพียร เอาสติปัญญาไปต่อสู้กับมัน ถ้าต่อสู้กับมันเห็นไหม คนที่มีความเพียร คนที่มีความวิริยะอุตสาหะต่อสู้ มันได้ต่อสู้ให้มันสงบตัวลง สงบตัวลง ให้ได้หายอกหายใจบ้าง

ในการภาวนาแล้วก็ขอให้ได้ลิ้มรสของธรรมบ้าง นี่พอจิตสงบขึ้นมาก็ อืม โอ๋โล่ง สุขสบาย แล้วของอย่างนี้จะบอกใครได้ แล้วของอย่างนี้ใครจะรู้กับเราได้ มันรู้ได้จากแววตา รู้ได้จากความสุขของเราไง ถ้าความสุขของเรา ความสุขอย่างนี้ ทุกข์ควรกำหนด แล้วสุขควรทำอย่างไรล่ะ สุขมันก็เสวยไง เพราะมันเป็นความสุขของเราอยู่แล้ว แต่ความสุขอย่างนี้ ถ้าเราประมาทเลินเล่อ มันก็เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งมันแปรปรวนหมด มันมาอยู่กับเราไม่นานหรอก

เพราะเราลงทุนลงแรงขนาดนี้ มันถึงได้ผลตอบสนองอย่างนี้มา ถ้าผลตอบสนองอย่างนี้มา เราจะรักษามันต่อไป เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ ให้ชำนาญในวสี ถ้าเราชำนาญในเหตุ เรามีเหตุมีผลของเรา มีสติปัญญาของเรา เรารักษาของเรา สิ่งนี้หายไปไม่ได้หรอก ถ้ารักษาเหตุดี ตักน้ำใส่ตุ่มตลอดเวลา น้ำจะพร่องจากตุ่มนั้นไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันว่าง จิตมันมีความสงบอย่างนี้ ความสงบนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร เกิดขึ้นมาจากความเพียรอย่างไร เกิดขึ้นมาจากสติปัญญาอย่างใด

สติปัญญาอันนั้น มันสร้างความสงบอย่างนี้ ถ้าสติปัญญาอย่างนั้นพอเราใช้บ่อยครั้งเข้า ใช้สติปัญญาอย่างเดิมเลย เพื่อจะให้มันมีความสงบอย่างนี้ ทำไมมันไม่ได้ความสงบล่ะ มันจะได้ยาก ได้ยากเพราะอะไร เพราะเราเคยได้ลิ้มรสของความสงบแล้ว กิเลสนี่มันรู้ทัน กิเลสมันรู้เลย ความสงบอย่างนี้มันเป็นธรรม จิตดวงนี้ได้ธรรมารส จิตดวงนี้พยายามมีความศรัทธา มีความมั่นคง จิตดวงนี้พยายามจะฝึกฝนตัวเอง

กิเลสนะ โดยตัณหาความทะยานอยาก มาร มันก็เข้ามาต่อรอง คำว่าต่อรองของมันคือมันใช้เหตุใช้ผลต่อรองเหมือนกันนะ ทำอย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้น มันต่อรองไง ต่อรองให้เราฟั่นเฟือน ต่อรองให้เรามักง่าย ต่อรองให้เราทำไม่ทำจริงจัง นี้พอมันต่อรองขึ้นมา เราก็ทำเหมือนเก่าเลย ทำเหมือนเก่าเปี๊ยะ เวลาเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกันเลย ทำไมมันไม่สงบล่ะ ทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ เห็นไหม กิเลสมันหลอก เราก็น้อยเนื้อต่ำใจ

ในการกระทำ ให้ชำนาญในวสีให้เป็นปัจจุบันธรรม ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติบ่อย มันจะชำนาญในวสี คำว่าชำนาญในวสีมันกำหนดได้เลยนะ กำหนดปั๊บ กำหนดแล้วปล่อย ปล่อยฟรีเลย เป็นธรรมชาติของมัน ปล่อยฟรีเลยนะแต่ต้องมีสตินะ ปล่อยฟรีเลยแต่ถ้าเราคาดเราหมายต่างๆ มันไม่ลงหรอก มันไม่ลง มันต้องเป็นสัจธรรม สัจจะ อริยสัจ สัจจะมันเป็นความจริงของมันอยู่แล้ว แต่เพราะมีตัณหาความทะยานอยากมาคอยแซงหน้าแซงหลัง มันทำให้ความเป็นจริงมันไม่เกิด

ดูความคิดของเราสิ พอคิดขึ้นมานี่เป็นอดีตอนาคตไปแล้ว เพราะความคิดออกมาจากอะไร พลังงานนี้ออกมาจากไหน ออกมาจากจิต แล้วพอความคิดมันไป นั่นน่ะมันไม่เป็นปัจจุบันหรอก แต่ถ้ามันสงบเข้ามาเห็นไหม สงบนิ่ง นั่นน่ะปัจจุบัน แล้วปัญญาที่เกิดปัจจุบันจะเกิดอย่างไร ปัญญาในปัจจุบัน ตัวจิตเห็นไหม ดูจิตสิ สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด แล้วมันหยุดนิ่งที่สุด แล้วปัญญาเกิดในขณะนั้น ขณะนั้นที่ขึ้นมานี่เห็นไหม

ถ้าเกิดขณะนั้น ที่ว่าพิจารณากาย ถ้าไม่มีจิตพิจารณากาย ความคิดอันนั้นมันเป็นโลกียปัญญา คิดแบบวิทยาศาสตร์ไง วิทยาศาสตร์ให้ค่าได้หมดล่ะ ร่างกายมนุษย์ พอตายไปแล้วกี่วันเน่า กระดูกนี่ถ้ามันไม่ได้ทับถมด้วยสิ่งใด มันต้องย่อยสลายเป็นธรรมดา ถ้าทับถมโดยที่มันตกผลึกแล้ว มันอาจเป็นฟอสซิลต่างๆ มันก็ว่าไปได้หมดล่ะ นี่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หมดเลย แล้วได้อะไรล่ะ เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ไง มันเป็นอดีต อนาคตไง มันเป็นสิ่งที่ออกไปนอกหัวใจไง

แต่ถ้ามันเป็นธรรม ธรรมมันเกิดจากไหน ธรรมมันเกิดมาจากใจ ถ้าใจสงบเข้ามา มันพิจารณาของมันขึ้นมา มันสำรอก! เพราะใจมันมีชีวิต เพราะใจมันเป็นสิ่งที่เสวย สิ่งที่เสวยเข้ามามันก็ได้ วิปยุต สัมปยุตขึ้นมา มันรับรู้ของมัน มันคลายตัวของมันได้ แต่ซากฟอสซิลมันไม่มีชีวิต มันจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ จิตเวลามันสงบเข้ามา มันพิจารณาของมันเห็นไหม มรรคญาณ ดูสิ มันเข้าไปทำลายตัวของมันเอง มันวิปยุตเข้าไป สัมปยุตคายออกมา

แล้วมันเหลือสิ่งใดรอดออกมาจากการสัมปยุตเข้าไป การวิปยุตออกมาล่ะ แล้วมันเหลือสิ่งใดล่ะ สิ่งใดมันเป็นไปล่ะ นี่ไง สิ่งที่มันเป็นไป ถ้าปัญญาปัจจุบัน มันจะเห็นของมัน มันจะเห็นการกระทำ มันมีการกระทำ สมาธิก็ต้องทำสมาธิ ใช้ปัญญา มันต้องมีปัญญาเป็นสัมมาสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มันหนุนขึ้นมา ถ้ามีสมาธิที่มั่นคง สมาธิสัมมาทิฏฐิ ทำให้เกิดปัญญา เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิพอใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมา มันจะทำให้จิตนี้ออกวิมุตติหลุดพ้นจากกิเลสไปได้

นี่ไงการกระทำอย่างนี้มันมีการกระทำ มันไม่ใช่ปลดเกียร์ว่าง ธรรมะเกียร์ว่าง มันทำความเสียหายให้การปฏิบัติของตัวเอง แต่ถ้าเรามุมานะบากบั่นของเรา มันจะทุกข์จะยาก มันทุกข์ยากนะ เราเกิดมาก็ทุกข์ยากอยู่แล้ว พอเกิดมาทุกข์ยากเห็นไหม ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่ทุกข์เป็นความจริงมันแบบว่าเราอยู่ในสังคม สบายดีไหม สบายดีค่ะ สบายดีไหม สบายดีครับ มันสบายดี สบายจริงหรือเปล่า แต่มันเป็นมารยาทสังคมใช่ไหม บอกสบายดีครับ แต่หัวใจทุกข์ร้อนมาก หัวใจนี่หมักหมมมาก

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ไม่ต้องมาถาม สบายไม่สบายมันเรื่องของฉัน สบายไม่ใช่เป็นเรื่องของจิตดวงนี้ จิตดวงนี้จะเป็นจะตาย มันควบคุมได้อย่างไร ถ้าควบคุมไม่ได้มันก็หมุนเวียนตายไป มันจะรู้แจ้งของมันหมดใช่ไหม รู้แจ้งของมัน มันสำรอกคายออกมาเป็นชั้นเป็นตอน มันสำรอกคายออก คายออกด้วยอะไร ด้วยมรรคญาณ มรรคสามัคคี สมุจเฉทปหาน ขาด ขาด ขาด นี่เห็นไหม

จิตนี้โดนกลั่นออกมาจากอริยสัจ ถึงที่สุดแล้วนะ ถ้าจิตมันกลั่นออกมาจากอริยสัจ เห็นไหม อนาคาเป็นเรือนว่างหมดเลย เห็นไหม เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ เห็นไหม โลกก็ว่าง ข้างนอกว่างอยู่แล้วแต่หัวใจไม่ว่าง ถ้าถอนอัตตานุทิฏฐิ ถอนทิฏฐิ ความรู้ความเห็นอันนั้นเห็นไหม ข้างนอกว่างอยู่แล้วเห็นไหม ข้างในก็ว่าง ถ้าข้างในว่างนะ แล้วจิตอยู่ ในเมื่อทำลายหมดแล้ว จิตอยู่ไหน อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ ความเป็นจริงของมัน มันอยู่ที่ไหน

ถ้ามีความเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม ถ้าความจริงมันเกิดขึ้น มีความจริงมีการกระทำ เราจะปลดเกียร์ว่างเฉยๆ ปล่อยมันว่างไปเฉยๆ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นความจริงเห็นไหม สิ่งที่เป็นไปได้มันก็เป็นธรรมะปฏิรูปสิ ธรรมะของเขา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะสาธารณะ สิ่งที่เป็นสาธารณะ เพราะสิ่งที่เป็นธรรมะสาธารณะ พูดธรรมะสาธารณะได้หมด ธรรมะพระพุทธเจ้านะ ห้ามเถียงนะ! นี่ธรรมะพระพุทธเจ้า

ใช่! ธรรมะพระพุทธเจ้า แต่หัวใจของเรา มันไม่มีการกระทำอย่างนี้ การกระทำมรรคญาณเข้าไปทำลายตัวมันเองน่ะมันไม่มี ถ้ามันไม่มี สิ่งต่างๆ ที่พูดออกมา มันไม่เป็นความจริง ถ้าไม่เป็นความจริงเห็นไหม มันก็ธรรมะพระพุทธเจ้าไง แล้วปลดใจให้ว่างอย่างนั้นไง ถ้าปลดใจให้ว่างอย่างงั้น แล้วตัวเองล่ะ ตัวเองว่างจริงหรือเปล่า มันก็ว่างไม่จริง ถ้าว่างจริงขึ้นมานี่ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา มันอธิบาย มันแยกแยะได้ทั้งนั้นน่ะ

ความแยกแยะ เพียงแต่ว่าวุฒิภาวะที่ไม่มีความรู้จริง เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํ คลมุตฺตมํ อเสวนา จ พาลานํ พูดแสดงธรรมะกับคนพาล ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าอะไร เพราะวุฒิภาวะเขาไม่รู้ไม่เห็น แล้วพูดกันเหมือนคนตาบอดกับคนตาดีคุยกัน คนตาบอดจะจับสิ่งใดไม่ได้ รู้เห็นสิ่งใดไม่ได้ แต่ความสงสัยเยอะมาก คนตาดีมองไปชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วพูดตามนั้นได้หมดเลย เห็นไหม

อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา คนที่รู้ด้วยกัน คนที่เห็นด้วยกัน เหมือนกันทั้งนั้น พูดได้เหมือนกัน จับต้องได้ ธรรมะนี้จับต้องได้ นี่ไง มันต่างกันตรงนี้ไง มันต่างกันที่ว่า เวลาพูดธรรมะ ที่ว่าธรรมะเป็นสาธารณะ ทุกอย่างเป็นสาธารณะ นี่มันพูดกับคนตาบอด เพราะพูดแล้วไม่มีใครรู้น่ะ แต่ถ้าคนรู้ ตาไม่บอด ตาไม่บอดเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นธรรมะสาธารณะไง แล้วธรรมะส่วนบุคคลล่ะ ธรรมะของใจดวงที่รู้ล่ะ มันต้องมีตรงนี้ขึ้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เห็นไหม ดูสิ พระสารีบุตร พระโมคคัลลา สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าไปสอนนะ พระพุทธเจ้านี่ไปโดยฤทธิ์เลย ไปสอนพระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการกับหลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ขณะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเห็นไหม เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร เพราะการฟังเทศน์นั้น การฟังเทศน์นั้น จิตมันเดินตามไปนั้น จิตมันมีการกระทำของมัน มันมีเหตุมีผล มันต้องมีที่มา มันต้องมีวิทยานิพนธ์ทั้งนั้น

คนที่จะเป็นพระอรหันต์ คนที่จะมีคุณธรรมในหัวใจ มันต้องมีการกระทำทั้งหมด! มันไม่มีการปลดเกียร์ว่างแล้วเป็น ไม่มี! มันต้องเป็นของมันขึ้นมาทั้งหมด ถ้ามันเป็นของมันทั้งหมด อันที่เป็นขึ้นมานั้นน่ะ คนเป็นเองทำไมจะพูดไม่ได้ เราเป็นคนทำซะเอง แล้วเราพูดไม่ได้ นี่ไงพระปัจเจกพุทธเจ้าสอนไม่ได้ ต้องพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าสอนได้ คนทำเป็นสอนได้หมด แต่สอนได้ในชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะคนทำเป็น คนทำเป็นก็สอนตามนั้น

แต่บารมีมันไม่เท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ที่วางศาสนาไปอีก เพราะว่าอะไร เพราะได้บัญญัติศัพท์ศัพท์ขึ้นมา เพราะถ้าคนเป็นขึ้นมา เขาก็พูดสื่อตามความเข้าใจ สื่อตามความเข้าใจอันนั้น อันนั้นมันสื่อได้เพราะความรู้อันนั้นมันสื่อได้ มันบอกได้ มันบอกแนะได้ เหมือนกับทางช่าง เราบอกเขาได้ วิธีการทำเราบอกเขาได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เขาจะทำได้ ไม่ได้ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน คนที่มันเป็นช่าง มันต้องทำได้ มันต้องพูดได้ ถ้าพูดไม่ได้เป็นช่างได้อย่างไร เป็นช่างไม่มีเครื่องมือการช่างเลย เป็นไปไม่ได้ คนที่จะทำการช่าง มันก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือของมัน เครื่องไม้เครื่องมือที่เราจะไปทำ จะเป็นเลื่อย จะเป็นอ๊อก จะไปต่างๆ มันต้องมีเครื่องมือ ไม่มีเครื่องมือมันเอาอะไรไปทำ ไปนั่งดูหรือ ไปนั่งดูมันจะเสร็จขึ้นมาได้ไหม ปลดเกียร์ว่างไง นั่งดูไง เนรมิตขึ้นมาเลย มันจะเป็นโครงสร้าง เป็นทั้งหมด ไอ้นี่มันเขียนแปลน เขียนได้ในกระดาษน่ะ แต่โครงสร้างของบ้านเรือนมันเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเป็นจริงนะ มันมีการกระทำนะ แล้วแสวงหา นี่ให้เราตั้งใจ เราอุตส่าห์ประพฤติปฏิบัติกัน ประพฤติปฏิบัติเพื่อใคร เห็นไหม เวลาเราไปทำสิ่งต่างๆ ที่ทำร้ายตัวเอง ดูสิ คนกินเหล้าเมายานี่เขากินเข้าไปเพื่อทำร้ายร่างกายเขาทั้งนั้นนะ เขาว่าเขามีความสุขของเขา เรานี่พยายามจะหาศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งที่หัวใจมันเรียกร้องปรารถนา แล้วเรามาประพฤติปฏิบัตินี่ เราเป็นคนดี หรือเราเป็นคนสิ่งโลกเขาบอกว่าไม่สู้สังคม

โลกเขาบอกว่า เราเป็นคนหลบหน้าหลบตาสังคม ไม่จริงจังกับเขา เห็นไหม นี่คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก คนโง่ในโลกนี้น่ะมาก คนโง่ไง แต่เขาคิดว่าเขาฉลาด เขาฉลาดในตัวของเขา เขาพยายามแสวงหาเพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา แต่เขาไม่รู้หรอก ว่าสิ่งที่เขาแสวงหามานั้น มันจะได้พึ่งพาอาศัยมากน้อยได้ขนาดไหน แต่พวกเรานี่ที่มาประพฤติปฏิบัติ เขาว่าโง่ เกิดมาก็ทุกข์อยู่แล้ว ทำไมต้องไปอยู่ให้มันทุกข์มันยากอีก ทำไมต้องทำตัวให้ลำบากขนาดนั้น ก็ทำตัวลำบากขนาดนี้ กิเลสมันยังไม่ยอมเลย

เราไม่ใช่ทำตัวให้ลำบากอย่างนั้น เพราะเรานะ กิเลสมันก็เป็นเรา สรรพสิ่งก็เป็นเรา มันแยกออกจากกันไม่ได้ แต่เราพอปฏิบัติ เวลาทำเราจะแยกกิเลสกับเรานี้ออกจากกันให้ได้ ถ้าจิตมันสงบลง กิเลสมันเผลอ เราก็ได้สงบลงเป็นสมาธิ เป็นต่างๆ นี่กิเลสมันเผลอนะ แล้วถ้ากิเลสมันตื่นขึ้นมานะ มันไม่ยอมให้เราทำได้อย่างนั้นอีกหรอก มันก็ต้องกวนเราตลอดเวลา เราก็พยายามทำของเรา จนชำนาญในวสีนะ คนชำนาญการ ดูสิ ผู้ที่ชำนาญน่ะเขาทำอะไรด้วยความคล่องแคล่วของเขามาก

จิตเราวิวัฒนาการ ภาวนาจนมันชำนาญ นี้คำว่าความชำนาญมันต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ความชำนาญเห็นไหม ดูสิเวลาประพฤติปฏิบัติ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี นี่มันอยู่ที่คนมีอำนาจวาสนามาก วาสนาน้อยขนาดไหน ความชำนาญของเรา ถ้าเรารู้จังหวะ รู้โอกาสของเรา เราทำของเราให้ดีๆ มันจะชำนาญขึ้นมา ดีขึ้นมา ดีขึ้นมา มันทำได้ ถ้ามันทำไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าไม่สอนหรอก พระพุทธเจ้าสอนเรา เห็นพระพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์โลก แล้วเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนเรานี่เราทำไม่ได้หรือ

หลวงตาท่านพูดบ่อย ประพฤติปฏิบัติไปเถอะ ถ้าไม่ได้จริงจะพาไปฟ้องพระพุทธเจ้า เห็นไหม พระพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ให้พวกเรามีการกระทำขึ้นมา เราตั้งใจจริง ทำจริงของเราขึ้นมาให้มันเป็นความเพียรชอบ เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรนะ มีความวิริยะอุตสาหะ คนโง่ คนทางโลกเขาจะติเตียนมันเรื่องของเขา เรารู้ว่าเราทำอะไร เรารู้ว่าเราทำเพื่อใคร เราทำอะไร เราทำเพื่อเรา เห็นไหม เราทำเพื่อเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อความสุขเป็นนิรันดร์กับหัวใจของเรา เอวัง